เอาจริง
ๆ ผู้เขียนเป็นคนชอบกินของหวาน ๆ มาก
เรียกว่าระหว่างของคาวและของหวานถ้าต้องให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งก็สามารถตัดสินใจได้ทันใดไม่ต้องใช้ความคิดก่อนเลย วัน ๆ นั่งอยู่ดี ๆ ก็จะลุกไปหาขนมกิน ทั้งที่ไม่ได้หิว กินเพราะความอยากมากกว่า
ยิ่งกินก็ยิ่งมัน ก็กินวนไปอย่างนี้วันละหลายรอบ
ทั้งที่รู้ว่าน้ำตาลนั้นเป็นหนึ่งในตัวร้ายที่ทำลายสุขภาพ คนรอบข้างก็ขยันขู่ว่าระวังเถอะ
ขืนกินอย่างนี้อีกหน่อยก็ไม่พ้นเป็นเบาหวาน
เออนะ ใครที่ชอบกินขนมเหมือนกันคงรู้ว่าการให้เลิกกินของชอบนี่มันไม่ได้ทำกันได้ง่าย
ๆ ก็ให้สงสัยว่าขึ้นชื่อว่าน้ำตาลนี่มันแย่ขนาดนั้นจริง ๆ หรือ
หรือว่ายังมีอะไรอื่นที่มากกว่านั้น ตั้งสมการแล้วก็ต้องไปหาคำตอบกันสินะ
หลังจากอ่าน
ๆ ไปก็ได้ความมาว่าการกินขนมจุบจิบนั้นมันทำให้มีความสุขแค่ช่วงสั้น ๆ
ไม่ได้ทำให้อิ่ม
แต่ถึงกับไปกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้นอีก ต้นเหตุก็มาจากน้ำตาลที่อยู่ในขนมนั่นเอง ภาพลักษณ์ของมันนั้นยิ่งกว่าไม่ดี ซึ่งก็ไม่ผิดเสียทีเดียว
ผู้ที่กินน้ำตาลเยอะและเคลื่อนไหวร่างกายน้อยจะตกอยู่ในอันตรายที่จะน้ำหนักเกินหรืออ้วนเผละผละเอาง่าย
ๆ และผู้เชี่ยวชาญก็เห็นว่าโรคภัยอื่น ๆ
ก็เป็นผลมาจากการบริโภคน้ำตาลมากไป ศาสตราจารย์ Johannes
Georg Wechsler แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ภายในที่ München และประธานสมาคมแพทย์ด้านการบริโภคเยอรมัน (BDEM)
กล่าวว่าน้ำตาลเมื่อเชื่อมโยงกับการขาดการเคลื่อนไหวและระดับอินซูลินสูงสามารถนำไปสู่การสะสมในเส้นโลหิต
ซึ่งเพิ่มอันตรายสำหรับหัวใจวายหรือเส้นโลหิตแตกได้ แต่..อ้า อันนี้สำคัญ แต่ไม่ได้หมายความโดยอัตโนมัติว่าน้ำตาลแย่
คุณหมอยังกล่าวต่อไปด้วยว่าน้ำตาลเป็นตัวให้พลังงานที่สำคัญ Susanne Umbach จากศูนย์ผู้บริโภคแคว้นไรน์ลันด์-ฟัลซ์ก็มีความเห็นคล้ายคลึงกัน โดยกล่าวว่าอาหารเป็นการเสพสุข สำหรับคนจำนวนมากรวมถึงขนมหวานด้วย เช่นเดียวกับของหลาย ๆ
อย่างมันขึ้นกับปริมาณที่ถูกต้องต่างหาก
อ้าว
อ่านถึงตรงนี้ก็ต้องอยากรู้ต่อไปว่าแล้วปริมาณที่ถูกต้องเหมาะสมคือเท่าใดกันล่ะ คำตอบได้มาจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งคำแนะนำของ WHO นั้น สมาคมเพื่อการบริโภคเยอรมัน (DGE)
ร่วมกับสมาคมโรคอ้วนเยอรมัน (DAG) และสมาคมเบาหวานเยอรมัน (DDG) ก็ได้เข้าร่วมด้วย โดยการกินน้ำตาลแต่ละวันไม่ควรมากเกินกว่า ๑๐%
ของพลังงานที่เรารับเข้าไปรวมกัน
ตัวอย่างเช่น หากปริมาณพลังงานที่กินเข้าไปต่อวันมีจำนวน ๒,๐๐๐ กิโลแคลอรี
(kcal) ปริมาณน้ำตาลก็ไม่ควรเกิน ๕๐ กรัม หรือราว ๑๐-๑๒
ช้อนชา ฮูเร สบายละเรา ไม่เคยกินถึงขนาดนี้เสียที
แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งดีใจไปล่วงหน้า
ปริมาณที่ว่านี้เขาหมายถึงน้ำตาลที่เรียกว่า
“Freien
Zucker” ได้แก่ น้ำตาลที่ใส่เข้าไปในอาหารและเครื่องดื่ม
แต่ก็หมายถึงน้ำตาลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในน้ำผึ้ง น้ำหวานหรือน้ำผลไม้ด้วย แต่ไม่รวมถึงน้ำตาลในผลไม้และผัก กระนั้น การค้นพบน้ำตาลบ่อย ๆ
ก็ไม่ได้ง่าย Antje Gahl โฆษกของ DGE กล่าวว่านอกเหนือจากเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาล
เช่น น้ำอัดลม ที่สามารถเห็นได้ชัดเจน
ในอาหารที่คนเราไม่ได้คิดว่าจะมีน้ำตาล บ่อย ๆ ก็มีน้ำตาลแอบซ่อนอยู่ ตัวอย่างก็เช่น ซ้อสต่าง ๆ น้ำสลัด
อาหารสำเร็จรูปหรือดิป ฯลฯ ตามข้อมูลของ DGE
การศึกษาหลากหลายแสดงว่าสตรี บุรุษและเด็ก ๆ
กินน้ำตาลมากกว่าที่แนะนำอย่างชัดเจน
ระหว่างที่สตรีในวัยระหว่าง ๑๕-๘๐ ปีกินน้ำตาลราว ๑๔%
ของพลังงานทั้งหมดที่กินเข้าไป
ในบุรุษมีจำนวน ๑๓% ทำให้สตรีกินน้ำตาลเฉลี่ย ๖๑ กรัมต่อวัน ส่วนบุรุษ ๗๘ กรัม เด็กและเยาวชนกินน้ำตาลเข้าไปถึง ๑๗.๕% ซึ่งมากเกินไป Gahl
กล่าวว่าการบริโภคน้ำตาลต้องลดลงอย่างน้อย ๒๕% เพื่อไม่ให้เกินปริมาณที่แนะนำ
กระนั้น
แม้แต่ผู้ที่ไปจับจ่ายซื้อของด้วยความตั้งใจว่าจะกินน้ำตาลให้น้อยลงก็ตกหลุมพรางบ่อย
ๆ Umbach
กล่าวว่าอาหารที่คิดว่าถูกสุขลักษณะบ่อยครั้งก็เป็นระเบิดน้ำตาลดี ๆ นี่เอง โดยยกตัวอย่างโยเกิร์ตผลไม้ และบางคนบางทีตั้งใจจะกินน้ำตาลให้น้อยลง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมีความอยากของหวานหนักมาก
พอเลิกกินก็มีปฏิกิริยาไม่สบายตัวและอารมณ์เสียง่าย Umbach กล่าวว่าพฤติกรรมดังกล่าวสามารถเป็นอาการของการเสพติดได้ แต่ข้อดีคือ
คนเราสามารถสร้างอิทธิพลและฝึกรสชาติอาหารของตัวเองได้
ด้วยความตั้งใจจริงและความมีวินัยก็สามารถเคยชินกับการกินของหวานลดลงได้ ตัวอย่างเช่น
แทนที่น้ำหวานหรือน้ำอัดลมด้วยการกินน้ำเปล่าหรือชาที่ไม่ใส่น้ำตาล
ช่วงเริ่มต้นอาจจะใส่น้ำตาลแค่ก้อนเดียวแทนที่จะเป็นสองก้อนอย่างแต่ก่อน Umbach
กล่าวอีกว่ายามใดยามหนึ่งเราจะเริ่มรู้สึกว่าของที่ใส่น้ำตาลมากหวานเกินไปและหลีกเลี่ยงการกินของชนิดนั้น
ๆ ข้อแนะนำต่อไปสำหรับการลดน้ำตาลก็คือ ผู้ที่ต้องการกินโยเกิร์ตผลไม้ที่ใส่น้ำตาลให้ได้
ก็ให้ลองผสมด้วยโยเกิร์ตธรรมดาดู
ก็จะได้โยเกิร์ตปริมาณมากขึ้นด้วยปริมาณน้ำตาลน้อยลง
ในการอบขนมเค้กก็สามารถใช้น้ำตาลน้อยลงกว่าที่ระบุในวิธีทำ
เค้กหลายอย่างก็ออกมาอร่อยดีแม้จะใส่น้ำตาลน้อยลง ที่สำคัญเช่นเดียวกันก็คือหากจะผสมน้ำตาลในบางสิ่งบางอย่าง
เช่น ลูกเบอร์รีสด ก็ไม่ควรโรยน้ำตาลง่าย ๆ จากในถุงเลย มันจะดีกว่าหากใช้ช้อนหรือที่โรย เพราะกำหนดจำนวนน้ำตาลได้แน่นอนกว่า
เอ้า
หลายอย่างผู้เขียนก็ทำอยู่แล้ว เช่น การลดน้ำตาลจากเดิมสามช้อนเหลือสองช้อนพร่อง ๆ
หรือดื่มชาไม่ใส่น้ำตาล ไอ้ที่เคยกินเค้กหรือคุกกี้ตะบันก็หันมากินผลไม้แห้งหรือเม็ดทานตะวันอบแห้งแทน
โยเกิร์ตธรรมชาติ (ที่แอบผสมแยมและผลไม้แห้ง) แทนโยเกิร์ตผลไม้จากซูเปอร์ อ๊ะ
แปลว่าเรามาถูกทางแล้วสิ เบาหวานไม่ต้องมาถามหานะจ๊ะ เราบอกลากันตรงนี้แล้วกัน บาย
หมายเหตุ น้ำตาลมีชื่อต่าง ๆ กันหลายชื่อ ดังนั้น
ผู้บริโภคจึงควรดูบัญชีส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์หนึ่ง ๆ อย่างถี่ถ้วน ส่วนประกอบที่ลงท้ายด้วย
…ose หมายถึง ต้องระวัง
เนื่องจากเบื้องหลังชื่อดังกล่าวมีน้ำตาลแอบซ่อนอยู่นะจ๊ะ คุณขา ไม่ว่า Glucose,
Dextrose, Fructose, Saccharose หรือ Maltose
เรียบเรียงโดย “เอื้อยอ้าย”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น