วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สหรัฐฯเผยแผน “ฝึกฝน-ติดอาวุธ” ให้กองกำลังป้องกันชาติยูเครนในปี 2015


รัฐบาลสหรัฐฯ แจ้งให้สภาคองเกรสทราบถึงแผนฝึกฝนและติดอาวุธให้กองกำลังป้องกันชาติยูเครนในช่วงปีหน้า เพื่อตอบโต้รัสเซียที่คอยหนุนหลังฝ่ายกบฏแบ่งแยกดินแดนทางภาคตะวันออกของยูเครน กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงวานนี้(1)
       
       พล.ร.ต. จอห์น เคอร์บีย์ โฆษกเพนตากอน ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า “กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งให้คองเกรสรับทราบถึงแผนการใช้งบ 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากกองทุนสำรองจ่ายเพื่อความมั่นคงของโลก มาใช้ในการฝึกฝนและจัดซื้ออาวุธให้ 4 บริษัทและสำนักงานใหญ่ทางยุทธวิธีของกองกำลังป้องกันชาติยูเครน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาศักยภาพในการป้องกันประเทศของพวกเขา”
       
       การฝึกทหารซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรสเสียก่อน จะจัดขึ้น ณ สถานที่หนึ่งในยูเครนซึ่งเคยจัดกิจกรรมซ้อมรบนานาชาติมาแล้ว ส่วนครูฝึกก็จะมาจากกองกำลังสหรัฐฯในยุโรป และกองกำลังป้องกันชาติรัฐแคลิฟอร์เนีย (California National Guard)
       
       แม้ เคอร์บีย์ จะไม่ได้ระบุชัดเจนว่าแผนดังกล่าวมีส่วนเชื่อมโยงกับการเผชิญหน้าระหว่างตะวันตกและรัสเซีย แต่เห็นได้ชัดว่ามันถูกประกาศในช่วงที่สหรัฐฯและพันธมิตรยุโรปกำลังเดินหน้าคว่ำบาตรกดดันมอสโกให้หนักหน่วงขึ้น หลังเกิดโศกนาฏกรรมเครื่องบินโดยสารของมาเลเซียแอร์ไลน์สถูกยิงตกในภาคตะวันออกของยูเครนเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ซึ่งฝ่ายตะวันตกเชื่อว่าเกิดจากขีปนาวุธชนิดจากพื้นดินสู่อากาศที่พวกกบฏได้มาจากรัสเซีย
       
       เมื่อวานนี้(1) ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ เรียกร้องให้ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย หยุดให้การสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในภาคตะวันออกยูเครน และหาทางคลี่คลายวิกฤตด้วยการทูต
       
       วอชิงตันและอีกหลายประเทศในยุโรปเพิ่งจะประกาศมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อรัสเซียไปเมื่อต้นสัปดาห์นี้
       
       แม้สหรัฐฯ จะประณามรัสเซียที่ส่งทหารไปตรึงชายแดนยูเครนและให้การสนับสนุนพวกกบฏ แต่จนแล้วจนรอด โอบามา ก็ยังจำกัดความช่วยเหลือทางทหารแก่เคียฟ โดยจัดส่งเฉพาะอุปกรณ์การแพทย์ หรือเครื่องไม้เครื่องมือที่มิใช่เพื่อการสังหาร (non-lethal aid) เท่านั้น
       
       รัฐบาลอเมริกันยังให้สัญญาวานนี้(1)ว่าจะมอบความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่กองกำลังป้องกันชายแดนยูเครนเป็นมูลค่า 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 257 ล้านบาท)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น