การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมรณะ “อีโบลา” ระลอกล่าสุด ที่เริ่มปะทุขึ้นในเขตป่าลึกของประเทศกินี อดีตดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศสเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา กำลังถูกจับตามองด้วยความหวาดกลัว และหวั่นวิตกจากแวดวงสาธารณสุขทั่วโลก หลังจากเชื้อร้ายซึ่งยังคงไม่มีหนทางรักษาชนิดนี้เริ่มแพร่กระจายเป็นวงกว้าง จนบรรดาผู้เชี่ยวชาญยอมรับสภาพ ชี้ “คุมการระบาดไม่อยู่”
นับตั้งแต่พบการระบาดครั้งแรกในเขตป่าลึกทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของกินี เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เชื้อมรณะอีโบลาได้ใช้เวลาไม่ถึง 1 เดือนในการลุกลามเข้าสู่กรุงโกนากรี เมืองหลวงของกินีที่เป็นบ้านของประชากรมากกว่า 1.6 ล้านคน ก่อนจะลุกลามไปทั่วทั้งประเทศภายในไม่กี่สัปดาห์
อย่างไรก็ดี การเดินทางเคลื่อนย้ายอย่างอิสระเสรีของผู้คนในยุคสมัยใหม่ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เชื้อร้ายอย่างอีโบลา แพร่กระจายลุกลามอย่างรวดเร็วจากต้นตอการระบาดในกินี ออกสู่ประเทศเพื่อนบ้านร่วมภูมิภาค “แอฟริกาตะวันตก” อย่างไลบีเรีย และเซียร์รา ลีโอน
ข้อมูลล่าสุดจากองค์กรการกุศลชื่อก้องโลก “Medecins Sans Frontieres” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “กลุ่มแพทย์ไร้พรมแดน” ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.1971 และมีฐานอยู่ในนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยืนยันว่าจนถึงขณะนี้ เชื้อไวรัสมรณะอีโบลาได้คร่าชีวิตผู้คนเฉพาะในประเทศกินีไปแล้วอย่างน้อย 339 ราย จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันจำนวน 460 คน
นอกจากนั้น ยังพบผู้เสียชีวิต 233 รายจากจำนวนผู้ติดเชื้อ 533 รายในเซียร์รา ลีโอน ขณะที่ในไลบีเรียพบผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 156 ราย จากจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศ 329 เคส ส่วนในประเทศไนจีเรียมีรายงานการพบผู้เสียชีวิตรายแรกของประเทศแล้วเช่นกัน แม้เหยื่ออีโบลารายแรกนี้จะถูกระบุว่าเป็นพลเมืองของไลบีเรียที่เดินทางมายังกรุงลากอสของไนจีเรีย
เบ็ดเสร็จแล้ว ยอดผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของเชื้ออีโบลาในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้ชื่อว่า “ยากจนข้นแค้นที่สุดของโลก” ได้คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 729 รายจากจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 1,300 คน ภายในระยะเวลาเพียง 5 เดือน แม้ในความเป็นจริงแล้ว บรรดาผู้เชี่ยวชาญจะยอมรับว่า จำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้อีกมาก เนื่องจากยังมีผู้คนอีกจำนวนมากโดยเฉพาะในเขตชนบทห่างไกล ที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หรือเข้าไม่ถึงบริการด้านสาธารณสุข
จริงอยู่ที่ว่า เชื้อไวรัสอีโบลาเคยเกิดการะบาดครั้งแรกในโลกมาตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.1976 ที่ประเทศซาอีร์ (ปัจจุบันคือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก) และประเทศซูดาน รวมถึงยังเคยเกิดการ “ระบาดซ้ำแล้วซ้ำอีก” มาแล้วไม่น้อยกว่า 25 ครั้ง แต่ไม่มีการระบาดของเชื้ออีโบลาครั้งใดที่จะมีความรุนแรงและคร่าชีวิตผู้คนได้มากเท่ากับการระบาดที่เกิดขึ้นในแอฟริกาตะวันตกในปีนี้
การระบาดของไวรัสอีโบลาในแอฟริกาตะวันตกนี้ ได้รับการยืนยันจากกลุ่มแพทย์ไร้พรมแดนแล้วว่า เป็นการระบาดของอีโบลาครั้งที่มีความรุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังเป็นการแพร่ระบาดในระดับที่ “คุมไม่อยู่” ไปเสียแล้ว
ขณะที่หน่วยงาน “Peace Corps” ของสหรัฐฯ และองค์กรช่วยเหลือนานาชาติหลายแห่ง ประกาศถอนกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมดของตนออกจากแอฟริกาตะวันตกแบบไม่มีกำหนด หวั่นเจ้าหน้าที่ของตนตกเป็นเหยื่อ หลังมีรายงานที่ยืนยันว่า แพทย์ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหลายรายติดเชื้ออีโบลาและเสียชีวิต
ล่าสุดความหวาดกลัวการระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาเริ่มคืบคลานเข้าสู่ทวีปยุโรปและเอเชีย หลังมีการพบผู้ต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อในหลายประเทศ และความเป็นไปได้ในการลุกลามของเชื้ออีโบลา ออกนอกภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกนี้ก็เป็นผลพวงโดยตรงของความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ช่วยให้ผู้คนจากแอฟริกาสามารถเดินทางด้วยเครื่องบินไปยังพื้นที่ต่างๆของโลกได้ ภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง
รายงานข่าวในวันพฤหัสบดี (31) ระบุ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ประกาศจัดการประชุมฉุกเฉินในระดับโลก ว่าด้วยการหาทางรับมือการแพร่ระบาดของเชื้ออีโบลา หลังพบว่าการเดินทางโดยเครื่องบิน คือ ต้นตอสำคัญที่ช่วยนำเชื้อมรณะจากแอฟริกา เดินทางข้ามทวีปไปยังพื้นที่ส่วนต่างๆ ของโลกได้ในชั่วข้ามคืน
จนถึงขณะนี้ ผู้คนทั่วโลกคงทำอะไรได้ไม่มากนักและคงได้แต่เฝ้าระวังการมาถึงของเชื้อมรณะ ที่ยังไม่มีหนทางรักษาชนิดนี้ที่สามารถคร่าชีวิตผู้ติดเชื้อได้สูงถึงร้อยละ 90 และคงได้แต่หวังว่าหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั้งในระดับโลกและในแต่ละประเทศ จะมีมาตรการที่รัดกุมเพียงพอที่จะสกัดกั้นเชื้ออีโบลามิให้ลุกลามไปมากกว่าที่เป็นอยู่ และนี่อาจถือเป็น บททดสอบชิ้นสำคัญที่สุดต่อวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์โลกก็เป็นได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น