สังคมไทยนับตั้งแต่อดีตมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ได้มีการแบ่งชนชั้นของประชาชนออกเป็นกลุ่มต่าง
ๆ ทั้งเจ้านาย ขุนนาง ไพร่ รวมถึงเหล่าทาสที่แบ่งออกเป็น ๗ ประเภทด้วยกัน
ซึ่งตามบันทึกพบว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่
๓ นั้น เมืองไทยมีผู้ที่ตกเป็นทาสมากกว่า
๑ ใน ๓ ของพลเมืองของประเทศ
เนื่องจากลูกของพ่อแม่ที่เป็นทาสจำต้องตกเป็นทาสในเรือนเบี้ยและสืบทอดความเป็นทาสต่อกันไปเรื่อย
ๆ เว้นเสียแต่จะหาเงินมาไถ่ตัวเองออกไปได้
แต่แล้วประเทศไทยก็มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๕ ทรงพลิกโฉมโครงสร้างทางสังคมด้วยแผนการ “เลิกทาส”
เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากความล้าสมัยและเพื่อไม่ให้คนไทยกดขี่เหยียดหยามคนไทยด้วยกันเอง อย่างไรก็ตาม
พระประสงค์เลิกทาสให้เป็นไทนั้นจำต้องกระทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อมิให้ซ้ำรอยสหรัฐอเมริกาที่เกิดสงครามกลางเมืองจากการเลิกทาส โดยเริ่มจากดำเนินการสำรวจจำนวนทาสในปีพ.ศ.
๒๔๑๗
ซึ่งมีการสำรวจทั้งจำนวนของทาสในครอบครองของเจ้านายแต่ละคน
ตลอดจนสำรวจระยะเวลาที่ทาสจะต้องตกเป็นทาส
จากนั้นในพ.ศ. ๒๔๑๗ จึงโปรดให้ตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไทย
รวมทั้งทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะทาสหลายฉบับออกบังคับใช้ในมณฑลต่าง ๆ
ให้ลูกทาสเป็นไท ประกาศประมวลกฎหมาย
กำหนดบทลงโทษแก่ผู้ซื้อขายทาส
ให้มีความผิดเช่นเดียวกับโจรปล้นทรัพย์
นอกจากนั้น ยังทรงบำเพ็ญกุศลด้วยการบริจาคพระราชทรัพย์ไถ่ถอนทาส พร้อมพระราชทานที่ทำกินจนระบบทาสเริ่มหายไปจากสังคมไทย
พร้อมกันนั้นในระหว่างที่ทรงดำเนินการปลดปล่อยทาส ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้จัดการศึกษาตามแบบใหม่ควบคู่กันไป
เพื่อส่งเสริมความรู้ความสามารถสำหรับนำไปประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองได้
จนมาถึงแผนการขั้นสุดท้าย
นั่นก็คือการตรา “พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ. ๑๒๔” ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๘ ให้ลูกทาสทุกคนเป็นไท ส่วนทาสประเภทอื่นที่มิใช่ทาสในเรือนเบี้ยทรงให้ลดค่าตัวเดือนละ
๔ บาท
นอกจากนั้นยังมีบทบัญญัติป้องกันมิให้คนที่เป็นไทแล้วกลับไปเป็นทาสอีกและเมื่อทาสจะเปลี่ยนเจ้าเงินใหม่
ห้ามมิให้ขึ้นค่าตัว
นั่นเป็นจุดสิ้นสุดระบบทาสของสังคมไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น