ประชาชน
๗.๕ ล้านคนในประเทศเยอรมันไม่สามารถเขียนและอ่านได้อย่างแท้จริง ในฐานะ “funktionale
Analphabeten”
สามารถจัดการกับตัวอักษร คำศัพท์และประโยคง่าย ๆ เพียงจำกัดจำเขี่ย
มีปัญหาในการอ่านข้อความที่เชื่อมโยงกันและทำความเข้าใจ ตามการศึกษา “leo.Level-One-Studie”
ของมหาวิทยาลัยฮัมบวร์กในปี ๒๐๑๑ ประชาชน
๒.๓ ล้านคนสามารถอ่านและเขียนได้เพียงเป็นคำ ๆ แต่ไม่ใช่ทั้งประโยค พลเมือง ๓๐๐,๐๐๐ คนไม่สามารถเขียนชื่อตนเองได้ถูกต้อง
นักวิชาการพบว่าทั่วประเทศเยอรมันมีประชาชนที่มีปัญหาการอ่านและเขียนอย่างหนักมากกว่าที่เคยเชื่อกันก่อนหน้านี้
ถึง ๒ เท่า
แม้ว่าส่วนใหญ่ได้เข้าโรงเรียน
แต่ผู้ใหญ่ทุก ๑ ใน ๗ คนจนถึงอายุ ๖๔ ปีสามารถมีส่วนร่วมทางสังคมเพียงจำกัด
เนื่องจากความสามารถในการอ่านและเขียนอย่างมีขอบเขตจำกัดมาก ในจำนวนนี้ ๖๐% เป็นบุคคลทำงานประกอบอาชีพ Tim-Thilo Fellmer นักเขียนหนังสือเด็กที่เคยเป็นผู้ประสบปัญหามาก่อนเชื่อว่าจำนวน
๗.๒ ล้านคนน่าจะเข้าใกล้ความเป็นจริงและถึงกับอาจสูงกว่านี้เนื่องจากเป็นตัวเลขมืด
ตามการประเมินของเขา
มีเหตุผลมากมายว่าทำไมบางคนจึงไม่เรียนรู้ที่จะอ่านและเขียนแม้ว่าจะอยู่ในระบบโรงเรียน
ส่วนใหญ่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการอ่านเขียนอย่างแท้จริง (Legasthenie) หากแต่ขึ้นกับสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น
สภาพที่บ้านที่ผู้ปกครองไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน
ปัญหากับระบบโรงเรียน ครู ฯลฯ
วันที่ ๘ กันยายนของทุกปีซึ่งเป็น “วันรู้หนังสือโลก”
องค์การยูเนสโกได้เตือนให้ระลึกถึงปัญหาหนักของโลก นั่นคือ
การเรียนอ่านและเขียนในหลายภูมิภาคของโลกยังเป็นเรื่องของคนกลุ่มน้อยที่มี “สิทธิพิเศษ”
อยู่
รายงานการศึกษาโลกของยูเนสโกเมื่อปี
๒๐๑๕ แสดงว่าประชาชนราว ๗๘๑ ล้านคนทั่วโลกไม่รู้หนังสือ เกือบ ๒ ใน ๓ ในจำนวนนี้เป็นสตรี สัดส่วนสูงที่สุดของผู้ไม่รู้หนังสือ (๕๕๗
ล้านคน) กระจายอยู่ใน ๑๐ ประเทศ ๓๗%
ของผู้ไม่รู้หนังสือทั่วโลกอยู่ที่ประเทศอินเดียประเทศเดียว ซึ่งมีจำนวนประชากร ๒๘๗
ล้านคนไม่สามารถอ่านและเขียนได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น