ตามข้อมูลของสถาบันวิจัยความคิดเห็น
Allensbach
สี่สัปดาห์ก่อนหน้าการเลือกตั้งทั่วไป
๔๖%
ยังไม่รู้ว่าจะลงคะแนนเสียงให้ผู้ใด โดยมีแนวโน้มและกลุ่ม ต่อไปนี้
๑.
ผู้ลงคะแนนเสียงนาทีสุดท้าย
สมัยก่อนมีการสอบถามครั้งสุดท้ายสิบวันก่อนการเลือกตั้ง หลังจากนั้น
ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งต้องตัดสินใจเอง
ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งสุดท้ายถือว่า ๗๒
ชั่วโมงสุดท้ายเป็นตัวตัดสิน
โดยพรรคการเมืองจะเร่งรณรงค์หาเสียงอีกครั้งหนึ่ง ขณะนี้ถือว่า ๔๘ ชั่วโมงสุดท้ายสำคัญเป็นพิเศษ ที่ไรน์ลันด์-ฟัลซ์ ซาร์ลันด์
นอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลน และชเลสวิก-โฮลสไตน์
เพียงไม่กี่วันก่อนหน้าการเลือกตั้งรู้สึกได้ถึงแนวโน้มการหวนกลับที่ดำเนินต่อไปจนถึงวันอาทิตย์ที่เลือกตั้ง นับแต่ทศวรรษที่ ๔๐ มีการระบุว่าเป็นผลกระทบ “bandwagon” โดยท้ายสุดประชาชนจำนวนมากประสงค์จะอยู่กับผู้ชนะ
๒.
ผู้ลงคะแนนเสียงที่ยังตัดสินใจไม่ได้ สัดส่วนเพิ่มขึ้น จาก ๒๖% ในปี ๑๙๙๘
เป็น ๓๕%
ในปี
๒๐๐๕ คิดเป็น ๓๙% เมื่อ ๔ ปีก่อนและขณะนี้ ๔๖% โดยยังต่อสู้ยื้อยุดกันอยู่ อย่างไรก็ดี
ในขณะเดียวกันสัดส่วนของผู้ที่เห็นว่าการเลือกตั้งตัดสินแล้ว ๑
เดือนก่อนหน้าในคำถามที่ว่าใครจะได้เข้าสู่ทำเนียบนายก ฯ ก็เพิ่มขึ้นด้วย ตามตัวเลขของสถาบัน Allensbach กลุ่มผู้ที่ยังตัดสินใจไม่ได้ไม่ใช่เปิดกว้างทุกด้าน ๑๑% เปลี่ยนไปมาระหว่าง CDU/CSU และ SPD อย่างละ ๙ % ระหว่าง CDU/CSU
และ FDP รวมทั้ง SPD และพรรคเขียว ซึ่งอาจจะมีความสำคัญต่อการรอดชีวิตของพรรคเขียว
๓.
ผู้ไม่ออกเสียงเลือกตั้ง ตามข้อมูลของ Jürgen Falter นักวิจัยพรรคการเมือง
การตรวจสอบจากทศวรรษที่ ๙๐
ได้ผลลัพธ์ว่าภายใต้ผู้ไม่ออกเสียงเลือกตั้งในครั้งกระนั้นแทบไม่มีพวกไม่ลงคะแนนเสียงเพื่อประท้วง หากแต่ส่วนใหญ่ไม่สนใจการเมือง โดยปรากฎกับทุกกลุ่มการศึกษา
อาชีพและทุกค่าย
ปัญหาในการวิจัยผู้ไม่ออกเสียงเลือกตั้งเกิดขึ้นเนื่องจากส่วนใหญ่ไม่เข้าร่วมการสอบถาม จำนวนมากกลัวว่าจะถูกเปิดตัว Falter สันนิษฐานว่านอกเหนือจากความไม่สนใจทางการเมืองยังมีความสิ้นหวัง เนื่องจากมีการผสมกันที่ยอมประนีประนอมอยู่เสมอ ทำให้พบได้บ่อยที่ไม่สามารถรักษาคำสัญญาไว้ได้
ทำให้เกิดความรู้สึกว่าคะแนนเสียงของตัวท้ายสุดสามารถก่อให้เกิดอะไรได้น้อย
๔.
ผู้ลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ นับเป็นเวลา ๖๐
ปีมาแล้วที่สามารถลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์
ทีแรกเพียงสำหรับคนพิการ ผู้ป่วยหรือผู้ที่ติดขัดอย่างอื่น
ขณะนี้เปิดกว้างสำหรับทุกคนที่ในวันเลือกตั้งไม่สามารถไปยังคูหาเลือกตั้งได้หรือไม่ประสงค์จะไป
นับแต่ปี ๑๙๙๐ สัดส่วนของผู้เลือกตั้งทางไปรษณีย์เพิ่มขึ้น โดยมีจำนวน ๒๔.๓% ในปี
๒๐๑๓
พรรคการเมืองใหญ่ทุกพรรคเจาะจงบอกกล่าวกับผู้เลือกตั้งทางไปรษณีย์ ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ได้แก่ CDU/CSU ซึ่งในปี
๒๐๑๓ ได้รับคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งทางไปรษณีย์มาเป็นอันดับหนึ่งด้วยจำนวน ๔๓% มากกว่า SPD (๒๔.๔%)
เกือบสองเท่า
๕.
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวเยอรมันเชื้อสายตุรกี ราว ๑.๒๕ ล้านคนจากผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
๖๑.๕ ล้านคนมีรากเหง้าเป็นชาวตุรกี
ตามการสอบถามผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งสุดท้าย
๖๔%
ของชาวเยอรมัน-ตุรกีตัดสินใจเลือกพรรค
SPD ๑๒% พรรคเขียว ๑๒% พรรคซ้าย เพียง ๗% สำหรับ CDU/CSU การเรียกร้องของประธานาธิบดี Erdogan ของตุรกีไม่ให้ลงคะแนนเสียงให้กับ CDU/CSU, SPD
และพรรคเขียวจะส่งผลอย่างไรยังไม่เป็นที่แน่ชัด
๖.
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวเยอรมัน-รัสเซีย
ส่วนใหญ่ของผู้โยกย้ายมาตั้งหลักฐานในประเทศเยอรมัน ๓.๒ ล้านคน
ซึ่งเป็นกลุ่มอพยพโยกย้ายที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งกลุ่มใหญ่ที่สุดเป็นชาวเยอรมันรัสเซีย ท้ายสุดได้หันหลังให้กับ CDU/CSU มากขึ้นทุกที โดยหันไปเลือกพรรคทางเลือก AfD โดยตัวเลขยืนยันมาจากเขตเลือกตั้งที่ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นผู้โยกย้ายถิ่นในการเลือกตั้งระดับแคว้นต่าง
ๆ กัน แต่ไม่มีการศึกษาล่าสุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น