เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาผู้เขียนได้เดินทางไปประเทศไทยอย่างกระทันหัน
ไม่มีการวางแผนมาก่อน เนื่องจากญาติ ๆ
พากันเดินทางจากต่างทวีปทั่วโลกมายังเมืองไทยในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องไม่ธรรมดาของครอบครัวเรา ปกติจะสวนทางกันตลอด
ทุกคนจึงมีความเห็นว่าผู้เขียนควรไปรวมญาติด้วย เพื่อให้พร้อมหน้าพร้อมตา
เพราะโอกาสอย่างนี้คงไม่มีบ่อย หลังจากลังเลตัดสินใจไม่ตกอยู่หลายวัน
เพราะตั้งใจจะเดินทางไปเดือนเมษายนปีหน้าอยู่แล้ว
ในที่สุดไม่อยากถูกตราหน้าว่าเล่นตัว จึงจองตั๋วในวันศุกร์และเดินทางในวันพฤหัสถัดมา
โดยการเดินทางจากดุสเซลดอร์ฟตรงไปเชียงใหม่ทีเดียว
หลังการรวมญาติที่เชียงใหม่เสร็จเรียบร้อย
และทุกคนแยกย้ายกันไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ผู้เขียนก็กลับมาบ้านที่กรุงเทพ ฯ
และคิดว่าควรใช้เวลาที่เหลือหนึ่งอาทิตย์ให้เป็นประโยชน์ โดยการไปหาหมอตรวจต้อดีกว่า
(การตรวจต้อที่ประเทศเยอรมัน บริษัทประกันสุขภาพจะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่าย) แต่เนื่องจากเดินทางกระทันหัน
จึงไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้า คิดว่าโอกาสที่จะได้ตรวจโดยการเดินเข้าไปเฉย ๆ
ทั้งคลินิกปกติและคลินิกนอกเวลาของโรงพยาบาลรามาธิบดีที่เป็นคนไข้อยู่น่าจะพอ ๆ กับศูนย์
ดีที่ว่าพี่สาวไปพบเข้าโดยบังเอิญว่าที่โรงพยาบาลปอดเดิมบนถนนพหลโยธินเยื้องสถานีโรงพักบางซื่อขณะนี้มีโรงพยาบาลมาเปิดใหม่ในชื่อว่าโรงพยาบาลประสานมิตร
ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐ
ให้บริการรักษาโรคทั่วไปและโรคเฉพาะทาง ซึ่งรวมถึงคลินิกตาด้วย นัยว่าคนไม่ค่อยเยอะ
ไปสาย ๆ ก็ได้ ช่างเหมาะเหม็งอะไรเช่นนี้
ในวันว่างวันหนึ่งผู้เขียนจึงเดินโต๋เต๋ไปถึงโรงพยาบาลในเวลา ๗.๓๐ น.
ได้บัตรนัดหมายเลข ๖ แต่ผู้ป่วยนอกจะต้องรอทำทะเบียนประวัติก่อน โดยเจ้าหน้าที่จะเริ่มงานในเวลา ๘ นาฬิกา นั่งอ่านหนังสือที่ติดมือไปด้วยไม่นานนักก็ได้เรียกกรอกประวัติ
ที่ผู้เขียนเห็นว่าแปลก
คือการถามชื่อนามสกุลและเบอร์โทรศัพท์ญาติในกรณีที่ไม่สามารถติดต่อคนไข้ได้ เอ๊ะ
แบบนี้ก็มีเหรอ เอาก็เอา หลังจากได้แฟ้มแล้วก็เดินไปยื่นที่คลินิกตา อุแม่เจ้า
ชั่วเวลาเพียงไม่กี่สิบนาทีทำไมคนนั่งรอกันเต็มห้อง คงเป็นคนไข้เก่าที่นัดไว้แล้วล่วงหน้า
พยาบาลคงเห็นผู้เขียนทำหน้านิ่ว จึงชี้แจงว่าวันนี้คนไข้มากเป็นพิเศษ ฮืม์
แปลว่าเราแจ็คพ็อตสินะ ไม่เป็นไร มีหนังสืออ่านเสียอย่าง
แต่แปลกใจที่ว่าทำไมคนเขาจึงมากันเป็นคู่ ๆ
ไอ้ที่เห็นเต็มห้องนั่นเป็นญาติคนไข้เสียครึ่งหนึ่งได้ ไม่นานก็ได้รับการเรียกตรวจ
คุณหมอเป็นแพทย์สาวสวย พูดจาดี ซักถามความต้องการของคนไข้อย่างใจเย็น
เมื่อชี้แจงว่าอยากตรวจต้อ เพราะตนเองนั้นอยู่ในกลุ่มเสี่ยง แม่เป็น พี่เป็น
สายตาสั้นมากและส.ว.แล้ว หนสุดท้ายที่ตรวจก็หลายปีมาแล้ว
คุณหมอก็ว่างั้นควรตรวจขยายม่านตาด้วย แต่พอหยอดยาแล้วตาจะพร่ามัวไปหกชั่วโมง
จึงควรมีญาติมาด้วยเพื่อจูงกลับบ้าน อ้อ
นี่เองคือเหตุที่ว่าทำไมจึงมากันเป็นคู่ แต่คุณหมอขา วันธรรมดาอย่างนี้ใครเขาก็ทำงานกันหมด
กว่าจะตามตัวมาได้ไม่ไหวนะค้า พยาบาลจึงช่วยตัดสินใจให้ ว่างั้นก็นั่งแท็กซีกลับบ้านแล้วกัน
เป็นอันตกลงตามนั้น
การตรวจมีทั้งตรวจวัดสายตาหรือความสามารถในการมองเห็น
การตรวจด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ตรวจเลนส์ตาซ้าย-ขวาและการหยอดตาเพื่อขยายม่านตา โห
ท่านผู้ชม อันนี้แหละตัวแสบเลย พอยาไปกระทบกับลูกนัยน์ตาเท่านั้น
ผู้เขียนก็หลับตาปี๋โดยอัตโนมัติ ทำยังไงก็ลืมไม่ขึ้น
ไม่ว่าน้องพยาบาลจะอดทนพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ลืมตาให้หน่อย กี่ครั้งกี่หน
จนในที่สุดเธอต้องเอายาชามาหยอดให้จึงค่อยยังชั่วขึ้น ทนรับการหยอดตาครั้งต่อ ๆ
ไปได้ แต่สักพักพอยาออกฤทธิ์อาการตาพร่าเริ่มปรากฎ
หนังสือหนังหาเป็นอันว่าไม่ต้องอ่านกันละ ตอนคุณหมอเรียกไปฟังคำวินิจฉัยก็ต้องค่อยคลำทางไปโดยมีน้องพยาบาลคอยประคอง
ผลการตรวจพบว่าเริ่มมีอาการต้อกระจก ซึ่งเป็นอาการเสื่อมของตาตามวัย
คุณหมอเปรียบเทียบกับผมที่หงอกหรือผิวพรรณที่เหี่ยวมีริ้วรอยเมื่อวัยสูงขึ้น เมื่อสอบถามว่ามียาช่วยรักษาหรือชะลออาการไหม หรือทำอย่างไรให้อาการเสื่อมลดน้อยลง คุณหมอว่ามียาหยอดตา
แต่ตามจริงแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไร อ้าว สรุปแล้วคือปล่อยไปตามนี้จนกว่าจะเป็นมากจนสามารถผ่าตัดลอกได้ ซึ่งระยะเวลาก็แตกต่างกันไปในคนไข้แต่ละราย
บางรายอาจต้องผ่าตัดตั้งแต่เพิ่งเริ่ม ๕๐ บางรายก็ ๗๐ กว่าไปแล้ว จึงควรตรวจสายตาทุกปี
ปีละ ๑-๒ ครั้ง ผู้เขียนจะเดินทางไปเมืองไทยในอีก ๖ เดือนข้างหน้าอยู่แล้ว
จึงขอนัดไว้เลย
กลับบ้านมาหาข้อมูลเกี่ยวกับต้อกระจกอ่านเพิ่มเติมจากหลาย
ๆ เว็บ สรุปได้ว่าต้อกระจก คือ
ภาวะที่เลนส์ตาขุ่นมัว
ทำให้แสงไม่สามารถเข้าไปในตาได้ตามปกติ
ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจนหรือมีอาการตามัว
สาเหตุเกิดจากความเสื่อมของโปรตีน
ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเลนส์ตา ทำให้เลนส์ตาขุ่นหรือนิวเคลียสแข็งขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงนี้สัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น มักพบมากในผู้มีวัยตั้งแต่ ๕๐
ปีขึ้นไปหรือมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดจากมารดาติดเชื้อหัดเยอรมันขณะตั้งครรภ์
อาการ คือ รู้สึกว่าตามัวคล้ายมองผ่านหมอก
เห็นภาพซ้อนหรือมัว เห็นแสงกระจายขณะขับรถตอนกลางคืน
สังเกตเห็นต้อสีขาวตรงรูม่านตา บางคนอาจต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย แต่หลังต้อกระจกเป็นมากขึ้น
การเปลี่ยนแว่นจะไม่ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดต้อกระจก ได้แก่
- ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต
- มีโรคประจำตัวที่ส่งเสริมให้เกิดต้อกระจกได้
เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต โรคอ้วน
- ดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องและปริมาณมาก
- สูบบุหรี่
- ใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
และยาลดไขมันบางชนิด
- เคยได้รับบาดเจ็บ
ผ่าตัดหรือมีการติดเชื้อบริเวณตา
- มีประวัติครอบครัวเป็นต้อกระจก
การรักษา
ในช่วงแรกของการเป็นต้อกระจกการเปลี่ยนแว่นหรือใช้ยาหยอดตาสามารถช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นความถี่สูง (Phacoemulsification)
และการใช้เลนส์เทียม
การป้องกัน
- สวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต
- พักสายตาเมื่อต้องใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานาน
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินเอ อี และซี
เพื่อช่วยบำรุงสายตา
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ตรวจสายตาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้มีวัยตั้งแต่ ๔๐ ปีขึ้นไป
ด้วยเหตุนี้จึงอยากชักชวนแฟนอ่าน “ชาวไทย”
ทุกท่านที่มีวัย ๔๐ ปีขึ้นไปไปตรวจนัยน์ตากันทุกปีแม้ว่าจะไม่มีปัญหาอะไร
ถือเป็นการตรวจตามเกณฑ์อายุในผู้ที่ไม่มีอาการผิดปกติตามแต่ที่สะดวก
ไม่ว่าที่ประเทศเยอรมันหรือที่ประเทศไทยก็ตาม
เนื่องจากนัยน์ตาเป็นอวัยวะที่ละเอียดอ่อนที่สุดอย่างหนึ่งของคนเรา จึงสมควรทะนุถนอมกันไว้ให้ดี
เพื่อให้สามารถใช้งานได้ไปตลอดอายุขัย เอ๊ะ ฟังดูน่ากลัวไปไหมเนี่ย
แต่ก็ตามนั้นแหละจร้า
เรียบเรียง“เอื้อยอ้าย”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น