ในช่วงหลังสงครามในประเทศเยอรมันเป็นเรื่องปกติที่ประชาชนเติบโตมาพร้อมกับนิกายคาธอลิก เริ่มด้วยการรับศีลจุ่ม แล้วเข้าพิธีศีลมหาสนิท
ซึ่งการเข้าสังคมคาธอลิกดังกล่าวทุกวันนี้เป็นเรื่องยกเว้น เนื่องในวันคาธอลิกที่มีขึ้นในวันที่ ๙-๑๓
พฤษภาคมที่ Münster มีคำถามสงสัยกันว่า
ข้อเท็จจริงประเทศเยอรมันเป็นคาธอลิกมากน้อยแค่ไหน จำนวนที่อาจสร้างความแปลกใจให้กับบางคน ศาสนจักรคาธอลิกทุกวันนี้ยังมีสมาชิกมากเท่ากับในทศวรรษที่
๕๐ คือ ๒๓ ล้านคน ระหว่างนี้บางเวลามีมากกว่านี้ ตามข้อมูลของที่ประชุมบิชอฟในประเทศเยอรมัน
บรรลุระดับสูงสุดในปี ๑๙๗๓ ด้วยจำนวน ๓๐ ล้านคน
นับแต่ปี ๑๙๙๐ จำนวนลดลง
กระนั้น ก็ยังคงที่อย่างน่าแปลกใจ
แคว้นที่มีคาธอลิกฝังรากลึกที่สุดก็ได้แก่ ซาร์ลันด์ ไบเอิร์น
ไรน์ลันด์-ฟัลซ์ และนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลน
อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้ตรงกันข้ามอย่างหนักกับความพยายามอย่างกระตือรือล้นด้านศาสนา ในปี ๑๙๕๐ ชาวคาธอลิกเยอรมัน ๕๕% ยังไปเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์ ทุกวันนี้เพียง ๑๐% เท่านั้น ตัวเลขคือ ๒.๔
ล้านคน ทำให้มีคำถามตามมาโดยอัตโนมัติว่าทำไมไม่มีประชาชนจำนวนมากกว่านี้ลาออกจากโบสถ์
ในเมื่อชาวคาธอลิคส่วนใหญ่จำนวนมากไม่ไปเข้าโบสถ์อีกต่อไป ซึ่งจะทำให้สามารถประหยัดเงินได้มาก คำตอบอนุญาตให้เป็นว่า เพราะประชาชนจำนวนมากไม่ประสงค์จะทำให้บิดามารดาเสียใจ ตามความรู้สึกของคนเหล่านั้น การลาออกจากโบสถ์เหมือนกับการแตกหักกับครอบครัว แต่นั่นก็ไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมด
Detlef
Pollack นักสังคมวิทยาด้านศาสนาจากมหาวิทยาลัย Münster เชื่อว่าตามหลักการคริสตศาสนาในประเทศเยอรมันได้รับการตีค่าเป็นบวกและถูกมองว่าเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรม คนเราพบว่าเป็นการดีด้วยที่เด็ก ๆ
ได้รับการอบรมสั่งสอนตามจิตวิญญาณคริสต์
ความสุภาพ ความยุติธรรม ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การรักผู้อื่น ฯลฯ
ล้วนได้รับการประเมินสูงมาก มีความเปิดกว้างสูงต่อคริสตศาสนา
ซึ่งเป็นประโยชน์กับคริสตจักร
นอกจากนั้น ต้องขอบคุณรายได้จากภาษีจำนวนมหาศาลที่ทำให้คริสตจักรมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ค้ำประกันสังคม โดยประกอบกิจการโรงพยาบาล บ้านพักคนชรา โรงเรียนอนุบาลและโรงเรียน การแสดงบทบาทของโบสถ์นี้ได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่า Pollack กล่าวว่าที่สะดุดตามากคือในประเทศเยอรมันแทบไม่มีอะไร
อย่างเช่นการต่อต้านการเพิ่มอิทธิพลของโบสถ์คาธอลิกต่อทุกแวดวงในสังคม แทบไม่มีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงต่อต้านโบสถ์
โบสถ์จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะสร้างความหมองมัว
แต่สิ่งหนึ่งเป็นอดีตไปแล้วอย่างสิ้นเชิง นั่นคือชาวคาธอลิกไม่ปล่อยให้คริสตจักรกำหนดอีกต่อไปว่าควรใช้ชีวิตอย่างไร
ต่อคำถามที่ว่า
"เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณหรือไม่ว่าพระสันตปาปาทรงกล่าวว่าอย่างไร?" ในการสอบถามภายใต้การมอบหมายของมูลนิธิ Bertelsmann ๕๘% ของชาวคาธอลิกตอบคำถามนี้ว่า
"ไม่" การสอบถามของเขตการปกครองของบิชอฟโคโลญน์ในปี
๒๐๑๓ ให้ผลว่ามีความแตกต่างสูงมากระหว่างคำสอนของโบสถ์และชีวิตของชาวคาธอลิก ไม่ว่าการหย่าร้าง การมีเพศสัมพันธ์ก่อนการสมรส
ยาคุมกำเนิด หรือรักร่วมเพศ
ในทุกประเด็นผู้ที่ไปร่วมพิธีสวดเป็นประจำและผู้ที่ทำงานให้กับโบสถ์ก็ยังคิดแตกต่างไปจากที่โบสถ์สอนสั่ง และเกือบไม่มีข้อยกเว้น Pollack
สรุปว่าแม้แต่ผู้ที่อยู่ในโบสถ์เองก็กล่าวว่าต้องการทำตามเงื่อนไขของตนเอง
และไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นลูกแกะ (ของพระเจ้า)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น