เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาพี่สาวของผู้เขียนและเพื่อนพี่สาวได้พากันมาเที่ยวยุโรป
โดยเริ่มต้นที่ประเทศฝรั่งเศส
เนื่องจากได้ยินคำร่ำลือมาว่าการขอวีซาเชงเกนจากฝรั่งเศสสามารถทำได้ง่าย
ไม่ยุ่งยาก แล้วยังได้แบบสามารถเดินทางเข้าออกได้หลายครั้ง (Multiple) อีกด้วย
ซึ่งหลังจากพี่สาวไปยื่นขอมาแล้ว ก็ได้รับวีซา ๓ ปีมาสมอารมณ์หมายในราคาราว ๖๐ ยูโร
และเพื่อความสมจริงสมจัง ว่าอยากมาฝรั่งเศสจริงจริ๊งก็เลยอยู่เที่ยวฝรั่งเศสเสียหนึ่งสัปดาห์ โดยผู้เขียนได้นั่งรถไฟตามไปสมทบที่ Straßburg
แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงนั่นคือตั้งใจจะไปเที่ยว
Colmar เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากสตราซบวร์กเพียงแค่ ๖๔ กิโลเมตร ใช้เวลานั่งรถไฟ
๓๐ นาทีก็ถึง
อันว่าสตราซบวร์กนี้เป็นเมืองหลวงของภูมิภาค Alsace-Champagne-Ardenne-Lorraine อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศสใกล้พรมแดนประเทศเยอรมันและยังเป็นที่ตั้งอย่างเป็นทางการของรัฐสภาสหภาพยุโรป
ย่านเมืองเก่าได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมากว่า ๓๐ ปีแล้ว ส่วนย่าน Wilhelminische
Neustadt หรือที่เรียกกันว่า "ย่านเยอรมัน" ก็เพิ่งถูกจัดให้เป็นมรดกโลกเช่นเดียวกันเมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนตั้งท่าจะไปเที่ยวมาหลายครั้งหลายหน
แต่ก็ได้แต่ตั้งท่า เคยขับรถผ่านก็หลายครา แต่ก็ไม่ได้แวะ
ความที่คุณสามีเป็นพวกไม่ชอบแวะเบี้ยบ้ายรายทาง
เธอมีแผนว่าจะทำอะไรจะไปไหนก็ทำตามแผน ไม่มีนิสัยเถลเถไถแบบเรา คราวนี้ได้ไปสมใจเสียที
ทั้งที่โดนขู่ทั้งจากลูกชายและคุณสามีให้ระวังอันตรายจากการเดินทางด้วยรถไฟคนเดียว
ซึ่งกินเวลาราวหกชั่วโมง ในความเป็นจริงสามารถเดินทางได้เร็วกว่านี้
แต่ความตึ๊งหนืดของผู้เขียน ทำให้จองตั๋ว Europa Spezial ของการรถไฟแห่งประเทศเยอรมัน
(DB) ซึ่งได้ตั๋วถูกก็จริง (เดินทางไปกลับแค่ ๕๘ ยูโรเศษ) แต่ก็ไม่ได้นั่ง ICE
ได้นั่งแค่ IC
ผู้เขียนเองเป็นคนชอบนั่งรถไฟดูวิวทิวทัศน์อยู่แล้ว ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
แต่โดนพี่ DB ทำพิษเข้าให้เต็มเปา
แต่อันนี้ขอยกยอดไปเล่าในคราวหลัง
หาไม่คงจะไม่ถึงสตราซบวร์กเสียทีเป็นแน่
หลังจากระหกระเหินจากพิษ DB เสียอ่วม ผู้เขียนก็มาถึงสตราซบวร์กจนได้
ก่อนหน้านี้บอกพี่สาวที่ไปถึงก่อนให้สำรวจตั๋วและป้ายรถรางที่จะขึ้นไปยังที่พัก
รวมทั้งตั๋วรถไฟที่จะเดินทางไปโคลมาร์ในวันรุ่งขึ้นไว้ให้เสร็จสรรพ
เพื่อไม่ให้เสียเวลาต้องไปงมหา พี่สาวแสนดีซื้อตั๋วโดยสารรถสาธารณะแบบไม่จำกัดเที่ยวภายใน
๒๔ ชม. สำหรับ ๓ คนไว้ให้ในราคา ๖.๘๐ ยูโร
ก็พาขึ้นรถไฟใต้ดินที่มีป้ายอยู่ทั้งข้างใต้สถานีรถไฟใหญ่ไปยังที่พักตามที่เจ้าของบ้านอธิบายทางไว้ให้
เป็นที่น่าสังเกตว่าคนฝรั่งเศสที่พบตามถนนหนทางไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษและเยอรมันกันเท่าใดนัก
หายากมากทีเดียวที่จะถามทางกันได้รู้เรื่องโดยไม่ต้องผสมภาษาเศษฝรั่งของผู้เขียนที่หลงเหลือจากที่คืนครูไป
ติดสมองอยู่เล็ก ๆ น้อย ๆ และการบุ้ยใบ้ใช้ภาษามือ
ค่อยยังชั่วเจ้าของบ้านที่ไปพักเธอสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี
อันว่าที่พักนี้ผู้เขียนจองจากอินเตอร์เน็ตโดยเลือกบ้านส่วนบุคคลที่แบ่งห้องให้เช่า
เนื่องจากพบว่าอยู่สบายดีกว่าโรงแรม ที่ทางกว้างขวาง ทำอาหารได้ และที่สำคัญได้รู้จักกับชาวบ้านร้านถิ่นตัวจริงเสียงจริง
สามารถพูดคุยและสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวก็ได้ ถ้าอยากรู้
ตามปกติก็ไม่ค่อยเจอะเจอหน้ากันเท่าไรนัก
นอกจากเวลาเข้าพักที่ต้องมีการมอบกุญแจและชี้ที่ทางห้องนอนห้องน้ำห้องครัว ฯลฯ
เนื่องจากเจ้าของบ้านก็ไปทำงาน พวกเราก็ออกตระเวณเที่ยวกันทั้งวัน
ตกเย็นหรือค่ำถึงได้กลับไปนอน บ้านพักที่สตราซบวร์กนี่ก็เช่นเดียวกัน
วันรุ่งขึ้นต้องรีบร้อนตื่นแต่เช้ามืด เนื่องจากแจ็คพ็อตการรถไฟแห่งประเทศฝรั่งเศสทำการสไตรค์
ลดจำนวนเที่ยวลง หากไม่ขึ้นเที่ยวแรก ก็จะต้องรอไปจนถึงบ่ายคล้อยนั่นแล พวกเรา ขมีขมันลุกขึ้นมาแต่งตัว
กินอาหารเช้าแบบง่าย ๆ ที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้
แล้วก็เดินมาขึ้นรถเมล์ด่อด้วยรถรางกลับมายังสถานีรถไฟใหญ่เช่นเดิม
ตรงนี้ขออธิบายนิดนึงว่าตั๋ว ๒๔
ชม.ที่ซื้อมานั้นจะเริ่มนับเวลาจากการแสตมป์ตั๋วครั้งแรก
โดยใช้หลักการไว้ใจกันว่าผู้ใช้จะไม่โกง
ผู้ใดหัวใสคิดจะประหยัดโดยการไม่เสียบตั๋วเข้าไปในเครื่องที่มีอยู่ทั่วไปตามป้ายรถรางหรือรถไฟใต้ดินก็ทำได้
แต่ไม่แนะนำ เนื่องจากเราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะมีคนตรวจตั๋วขึ้นมาตรวจเมื่อใด (คณะเราเคยเจอหนึ่งครั้งดักอยู่ตรงทางลงจากรถเมล์
ตัวขนาดน้อง ๆ ยักษ์ หน้าตาก็ขมึงทึงไม่แพ้กัน) จะได้ไม่คุ้มเสีย
นอกจากนั้นราคาเท่านี้ก็นับว่าคุ้มสุดคุ้มแล้ว เพราะลำพังตั๋วรถเมล์เที่ยวเดียวก็มีราคา
๒ ยูโรแล้ว นี่สามารถขึ้นรถสาธารณะได้ทั้งรถเมล์ รถราง รถไฟใต้ดิน ส่วนตั๋วรถไฟที่จะไปโคลมาร์นั้น
ทีแรกผู้เขียนได้ข้อมูลจากการท่องเที่ยวของสตราซบวร์กมาว่ามีตั๋วที่เรียกว่า Elsass Plus สำหรับกรุ๊ปในราคาเพียง ๑๕ ยูโร แต่เมื่อวานตอนที่พี่สาวไปติดต่อขอซื้อ
เจ้าหน้าที่ขายตั๋วบอกว่าใช้ได้สำหรับวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น อ้าว แล้วกัน
แล้วการท่องเที่ยว ฯ ก็ไม่บอกให้ละเอียด เป็นอันว่าต้องซื้อตั๋วรถไฟชั้นสองในราคา
๑๒.๙๐ ยูโรต่อคน (ชั้น ๑ ราคา ๑๙.๔๐ ยูโร) เนื่องจากเดินทางกันในวันธรรมดา
ตามจริงผู้เขียนเคยอ่านเจอเหมือนกันว่าสามารถโดยสารรถบัสไปได้ในราคาตั้งแต่ ๕ ยูโรขึ้นไป
แต่ไม่ได้สนใจที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติม เพราะเป็นคนชอบนั่งรถไฟมาแต่ไหนแต่ไร
นั่งเล่นเย็นใจไปเพียงครู่เดียวก็ถึงโคลมาร์เมืองในฝัน
ลงรถไฟที่สถานีรถไฟของเมืองแล้วเดินตามป้าย Zentrum
เข้าไปในตัวเมือง ตามจริงระยะทางไม่ไกลนัก
แต่ไปกับคณะที่ชอบการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ เห็นอะไรก็ตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด
จึงต้องแวะถ่ายรูปกันตลอดเวลา เนื่องจากยังเช้าอยู่มาก จึงแทบว่าทั้งปาร์ค Champ de Mars จะเป็นของเราก็ว่าได้ สวนสาธารณะกลางเมืองแห่งนี้ต้นไม้เขียวชอุ่ม ตามข้อมูลนัยว่ามีต้น Linden รายล้อมอยู่ถึง ๑๙๓ ต้นทีเดียว
จุดสนใจของพี่ ๆ สองคนก็หนีไม่พ้นรูปปั้น Bartholdi*นายพล Rapp
และน้ำพุ Bruat
ปกติสิ่งแรกที่เรามักจะทำกันเป็นปกติเวลาไปที่ใด คือการมุ่งไปที่สำนักงานท่องเที่ยวของเมืองนั้น
ๆ เพื่อขอแผนที่และข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว สัญลักษณ์ของสำนักงานท่องเที่ยวจะเหมือนกันทุกแห่ง
คือ ตัว I และมักจะอยู่กลางเมือง
ที่โคลมาร์ก็เช่นเดียวกัน เดิน ๆ หยุด ๆ ถ่ายรูปและวินโดว์ช็อปปิงตามป้ายตัวไอไปเรื่อย
ๆ จนเจอ สำนักงานสว่างไสวดี มีแผ่นพับแจกหลายภาษา มีของที่ระลึกขาย และที่สำคัญได้เข้าห้องน้ำสะอาดสะอ้านฟรีโดยไม่คาดหมาย
ระหว่างนั่งรอพี่ ๆ เข้าห้องน้ำ ผู้เขียนหยิบเอกสารแจกมานั่งอ่านไปพลาง ๆ
ได้ความว่า Colmar อยู่บนถนนสายไวน์ที่มีชื่อเสียงของภูมิภาค
ได้รับการกล่าวถึงครั้งแรกตั้งแต่ในปี ค.ศ. ๘๒๓ ในปี ๑๑๐๖
ถูกไฟไหม้ได้รับความเสียหาย ระหว่างปี ๑๘๗๑-๑๙๔๕ ถูกสลับสับเปลี่ยนอยู่ในมือของประเทศเยอรมันและฝรั่งเศส
หลังการลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ในวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๑๙๑๙ ได้ตกเป็นของฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง จนปี ๑๙๔๐ จึงได้เข้าร่วมกับอาณาจักรที่ ๓ (Dritte
Reich) ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
หลังการสู้รบกันอย่างหนักหน่วง โคลมาร์ได้ตกเป็นของฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนเมืองเก่าได้รับการขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก โดยประกอบไปด้วยโบสถ์
คลอง รูปปั้น น้ำพุ บ้านปูนเปลือยที่โชว์งานไม้ (Fachwerk)
อาคารที่ส่วนด้านหน้ามีสีสันและลวดลายสวยงามจากยุคกลางและยุคเรอเนซองส์ ซึ่งรอดพ้นจากการถูกระเบิดระหว่างสงครามมาได้อย่างน่าประหลาดใจ
ในแผนที่เมืองที่หยิบมานั้นระบุสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของเมืองไว้สิบกว่าแห่ง
ส่วนใหญ่ก็จะคล้ายกับข้อมูลที่ผู้เขียนอ่านไปจากที่บ้าน เนื่องจากเมืองมีขนาดไม่ใหญ่นัก
จึงสามารถเดินชมได้ทั่วภายในไม่กี่ชั่วโมง โดยจะเดินไล่ไปตามหมายเลขตั้งแต่ ๑
เป็นต้นไป หรือจะสลับสับเปลี่ยนจากท้ายมาต้นก็ไม่ผิดกติกา แถมแผนที่ก็แทบจะไม่ต้องใช้
เนื่องจากว่าในเมืองมีป้ายที่ระบุทางไปสถานที่น่าสนใจต่าง ๆ ไว้ทุกระยะ
เราเพียงแต่ดูเปรียบเทียบกับในแผนที่ว่าสถานที่นั้น ๆ ตรงกับหมายเลขใด
เพื่อจะได้รู้ว่าถึงหมายเลขไหนแล้ว และยังขาดที่ไหนอีก พอเริ่มสายผู้คนก็เริ่มมา
คราวนี้ละแทบว่าจะเดินชนกัน ได้ยินเสียงพูดคุยภาษาต่าง ๆ จ้อกแจ้ก
มีกรุ๊ปทัวร์ที่เดินตามไกด์เป็นกลุ่ม ๆ และแน่นอนที่ขาดไม่ได้คือคนไทยจ้า
ปะหน้ากันเข้าโดยบังเอิญหลายกลุ่มอยู่ ได้ทักทายและผลัดกันถ่ายรูป
ถามไถ่ได้ความว่ากลุ่มหนึ่งมาจากประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง
ส่วนอีกกลุ่มมาไกลจากจังหวัดน่านนู่นแน่ะ
หลังจากเข้าโบสถ์นั้นออกโบสถ์นี้อยู่สองสามแห่ง ซึ่งโบสถ์ที่จะขาดเสียไม่ได้ก็ได้แก่
Église des Dominicains **หรือโบสถ์โดมินิกัน และ Èglise St Martin
(โบสถ์เซนต์มาร์ติน) มหาวิหารประจำเมืองที่สร้างตามสถาปัตยกรรมบาร็อค
ผู้เขียนก็ขอแวะตลาดปิดของเมือง (Marché Couvert)
ซึ่งอยู่ในตึกจากปี ๑๘๖๕ ที่สร้างด้วยอิฐและหินหน้าตาสวยงามและเคยถูกใช้ประโยชน์มาแล้วหลายอย่าง
ก่อนที่จะกลับมาเปิดเป็นตลาดตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมในเดือนกันยายน ๒๐๑๐ ในนั้นจะมีแผงขายสินค้าจำพวกผัก
ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไส้กรอก ปลา เนยแข็ง พืชพรรณไม้ดอกไม้ใบและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ฯลฯ
ผู้เขียนไปเจอะเจอเนยแข็งหน้าตาแปลก ๆ น่าสนใจที่ระบุว่า "แฮนด์เมด"
แถมลดราคาอีกต่างหาก ก็เลยได้ของติดไม้ติดมือมาฝากคนที่บ้าน
โชคดีที่สาวคนขายได้ยินภาษาเศษฝรั่งของผู้เขียนเข้าแล้วคงเวทนาเต็มแก่ จึงส่งภาษาอังกฤษเจื้อยแจ้วมา
เป็นอันว่าได้เนยแข็งที่ทำจากนมแพะโรยด้วยเครื่องเทศหลากหลายชนิดตามต้องการ
เสร็จจากการเป็นพญาน้อยชมตลาด จุดหมายต่อไปของเราคือ La Petite Venise หรือเวนิสน้อย
ซึ่งเป็นจุดขายของโคลมาร์เลยก็ว่าได้
เรียกว่าถ้ามาโคลมาร์แล้วไม่มาเยือนถิ่นเวนิสน้อยก็แทบจะกล่าวได้ว่ามาไม่ถึงเอาเลยทีเดียวเชียว
ตรงนี้ก็เหมือนเวนิสต้นตำรับคือมีคลองไหลผ่าน
มีสะพานที่นักท่องเที่ยวคนไหนคนนั้นต้องไปยืนแอ็คท่าถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
เสียดายว่าตอนที่คณะเราไปนั้นฤดูใบไม้ผลิยังเพิ่มเริ่มต้นได้ไม่นาน ดอกไม้จึงยังไม่บานสะพรั่ง
เพียงมีให้เห็นเป็นบางที่
ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของสถานที่ด้อยไปในสายตาผู้เขียน ที่เวนิสน้อยนี้มีเรือลำเล็ก
ๆ จอดรอท่านักท่องเที่ยวเพื่อพาเที่ยวลำคลองอยู่
ฝีพายหน้าตาธรรมดาและไม่มีทีท่าว่าจะเป็นนักร้องเสียงทองที่จะขับกล่อมผู้โดยสารให้เคลิบเคลิ้มด้วยเพลงเพราะ
ๆ แบบกอนโดลาที่เวนิสใหญ่
ราคาก็เลยย่อมเยาจ่ายได้ไม่ต้องกลัวกระเป๋าฉีก (ถ้าจำไม่ผิด ๖ ยูโรเป็นเวลานาน
๓๐ นาที?) แต่พวกเราไม่คิดจะลงเรือท่ามกลางแดดเปรี้ยง ๆ ของกลางเดือนเมษายน
จึงเดินย้อนกลับเข้ามาในเมืองผ่านร้านขายอาหารที่เรียงรายสองข้างทาง พี่ร่วมคณะได้ยินได้ฟังมาว่าถ้ามาโคลมาร์แล้วไซร้จะต้องลองชิมเครป
(Crepe) ให้ได้ทีเดียว พวกเราจึงสอดส่ายสายตาหาร้านที่ขายไอ้เจ้าแพนเค้ก
อาหารจานด่วนยอดนิยมของฝรั่งเศสชนิดนี้กันให้กลุ้ม ในที่สุดเจอเข้าร้านนึง
สาวน้อยผู้ขายเธอง่วนอยู่คนเดียว ทั้งขายไอศครีมขายเครป
อ่านเมนูที่กระจกตู้หน้าร้านมีให้เลือกทั้งแบบหวานและแบบเค็ม ราคาแบบหวานคือราดด้วยครีมช็อคโกแล็ตเฉย
ๆ ถูกกว่าแบบเค็มที่ใส่ไส้ต่าง ๆ แล้วแต่เลือก หลังจากสั่งไปแล้วลูกค้าต้องใจเย็น ๆ
เพราะกว่าสาวน้อยเธอจะค่อย ๆ เยื้องย่างไปเปิดตู้แช่หยิบถังแป้งที่ผสมไว้แล้วออกมาวาง
ตามด้วยกล่องเห็ดและเนยแข็ง ค่อย ๆ
หยอดแป้งใส่ลงในกระทะกลม ค่อย ๆ เกลี่ยและรอคอยให้แป้งได้ที่อย่างใจเย็น
ลูกค้าอย่างเราก็แอบถอนใจไปหลายรอบ
นึกในใจว่าถ้าเป็นช่วงกลางวันที่ลูกค้าหิวซ่กคอยคิวกันยาว ๆ น้องหนูเธอจะทำอย่างไรกันล่ะนี่
ได้เครปมาแล้วในราคาชิ้นละสี่ยูโรกว่า ๆ
ก็ไปนั่งกินที่ม้านั่งที่มีเรียงรายอยู่ทั่วไป
ซึ่งข้อนี้ผู้เขียนให้คะแนนเต็มสิบไปเลย
เพราะไปไหนในโคลมาร์ก็มีที่ให้หย่อนก้นนั่งพักหากเมื่อย หรืออยากนั่งกินน้ำมองดูผู้คนหรือดูแผนที่
ฯลฯ อีกทั้งยังมีป้ายบอกทางไปห้องน้ำสาธารณะหลายแห่งอีกด้วย สมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวดีแท้
กินเครปเพิ่มพลังกันแล้ว
ดูเวลาเหลืออีกไม่มากนักก็จะได้เวลาเดินทางกลับสตราซบวร์ก
เลยถือโอกาสเดินไปเข้าห้องน้ำที่สำนักงานท่องเที่ยวเป็นการสั่งลาเสียอีกหนึ่งรอบ
ซื้อของที่ระลึกเป็นผ้าเช็ดจานผ้าฝ้าย ๑๐๐% ลายยอดนิยมคือนกกระสา ซึ่งเป็นสัตว์ประจำภูมิภาค Alsace (หรือ Elsass ในภาษาเยอรมัน) แวะซุปเปอร์มาร์เกตซื้อน้ำไว้กินบนรถไฟ ฯลฯ
แล้วเดินเรื่อย ๆ กลับไปทางปาร์คที่ผ่านมาเมื่อเช้า
แต่แม่เจ้าแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นสวนสาธารณะแห่งเดียวกัน เนื่องจากในช่วงเวลาบ่ายแก่ที่อากาศสดใสเช่นนี้ผู้คนเดินยืนนั่งนอนกันให้ครึ่ดไปหมด
ดีที่แวะถ่ายรูปกันไปแล้วเมื่อเช้า แต่พี่ ๆ
สองคนยังขอเก็บตกเผื่อเหนียวไว้อีกหนึ่งรอบ ก็ไม่ว่ากัน
ระหว่างเดินไปสถานีรถไฟก็คุยกันไปว่าแต่ละคนจะให้คะแนนเมืองนี้เท่าไหร่ดีจากคะแนนเต็มสิบ
พี่สาวผู้เขียนว่าให้ ๘.๕ พี่อีกคนให้ ๗.๕ โดยให้เหตุผลว่าดอกไม้น้อยไปหน่อย
ส่วนผู้เขียนเป็นพวกไม่กดคะแนนเลยยกให้ไปเลย ๙ คะแนน
(ก็ไม่รู้จะกั๊กไอ้อีกหนึ่งคะแนนที่เหลือไปทำไม !?)
สำนักงานท่องเที่ยว
วอลแตร์***ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่โคลมาร์เป็นเวลา
๑๓ เดือนระหว่างปี ๑๗๕๓-๑๗๕๔ เคยบรรยายเมืองไว้ว่า "ครึ่งเยอรมัน
ครึ่งฝรั่งเศส แต่เป็นอินเดียนแดงแท้เทียว" (mi-allemande,
mi-francaise et tout à fait iroquoise) เอ๊ะ ท่านหมายถึงอะไรกันนะ
ยังไงก็แล้วแต่คณะเรานั้นสรุปแล้วคือปลื้มปริ่มกันทุกคน
เรียกว่าไม่ผิดหวังที่ดั้นด้นมา
Frédéric Auguste Bartholdi ภาพจากวิกิพีเดีย
*Frédéric
Auguste Bartholdi เจ้าของผลงานอนุสาวรีย์เทพีสันติภาพที่นิวยอร์กที่ทุกคนต่างรู้จักกันดีถือกำเนิดที่โคลมาร์ในวันที่
๒ สิงหาคม ๑๘๓๔ หลังเขาเสียชีวิต ภริยาม่ายของเขาได้ยกบ้านเกิดของเขาให้กับเมือง
ซึ่งทางเมืองก็ได้เปิดบ้านหรูหราขนาดใหญ่จากศตวรรษที่ ๑๘ ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ (Bartholdi &Son
Museé)
ในนั้นจะมีทั้งรูปปั้นเต็มตัว ครึ่งตัว ภาพวาดและภาพเขียน
รวมทั้งเครื่องเรือนของครอบครัวและของที่ระลึกของบาร์โธดีเอง
ชั้นสองของพิพิธภัณฑ์จะยกห้องทั้งห้องให้เป็นที่แสดงผลงานที่สำคัญที่สุดของเขา
ได้แก่ "La Liberté éclairant le Monde"
(อิสรภาพให้แสงสว่างแก่โลก) หรือที่ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อของอนุสาวรีย์สันติภาพนั่นเอง
โดยจะมีเอกสารที่ทำให้เราสามารถย้อนรอยการถือกำเนิดของหนึ่งในอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกได้
นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้คิดประดิษฐ์อนุสาวรีย์อื่น ๆ อีก ๓๕ ชิ้นที่กระจายอยู่ทั่วโลกอีกด้วย
**
Èglise des Dominicains สร้างเสร็จในปี ๑๓๔๖
ตามการว่าจ้างของกลุ่มโดมินิกันของโคลมาร์และเป็นหนึ่งในตัวอย่างโบสถ์ที่สวยที่สุดของสถาปัตยกรรมนิกายที่ดำรงชีวิตด้วยการขอทานจากยุคกลาง
ในโบสถ์ (เสียค่าเข้าชม ๒ ยูโร) จะมีภาพเขียน "La Vierge au Buisson
de Roses" (มาดอนนากับพุ่มกุหลาบ) ผลงานหลักของ Martin
Schongauer ศิลปินชาวโคลมาร์ที่วาดเสร็จในปี ๑๔๗๓
Voltaire ภาพจากวิกิพีเดีย
*** ชื่อจริง คือ Francois-Marie Arouet แต่มักเป็นที่รู้จักกันในนามปากกาว่า Voltaire เป็นปราชญ์ นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ในยุคเรืองปัญญาของฝรั่งเศส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น