ผู้เขียนเพิ่งจะแปลข่าวเกี่ยวกับการที่เด็กและเยาวชนในประเทศเยอรมันเป็นโรคซึมเศร้ากันมากขึ้น อ่านแล้วก็ตกใจ เพราะในข่าวมีการระบุอายุในรุ่นวัยต่าง ๆ กัน ที่เด็กสุดคือกลุ่มอายุ ๕-๙ ปี ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กเล็กในวัยนี้ที่ควรจะสนุกซุกซนตามประสา กลับป่วยเป็นโรคนี้ได้ คิดว่าแนวโน้มนี้เป็นกันทั่วโลก ไม่เพียงแต่ในประเทศเยอรมันเท่านั้น เวลาอ่านหนังสือพิมพ์ไทยก็พบข่าวเด็กฆ่าตัวตายบ่อยขึ้นทุกที สาเหตุอาจจะไม่ได้มาจากโรคซึมเศร้าทั้งหมด แต่ก็นับว่าน่ากลัวอยู่ดี พอดีได้ไปอ่านข้อมูลของมูลนิธิหมอชาวบ้าน เห็นว่าน่าสนใจสำหรับผู้อ่านที่อาจมีบุตรหลาน อ่านไว้เป็นความรู้ เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยพบเจอ เป็นแล้วหายได้ และบุคคลรอบข้างของผู้ป่วยมีบทบาทสำคัญมากทีเดียว
โรคซึมเศร้าถือเป็นความผิดปกติทางอารมณ์ สำหรับเด็กและวัยรุ่นอาการของโรคซึมเศร้าอาจไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนในรูปแบบความเศร้า หรือร้องไห้ แต่อาจมีอาการหงุดหงิด ก้าวร้าว เก็บตัว มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป จนก่อให้เกิดปัญหาต่อชีวิตประจำวันหรือการเรียน เช่น การเล่มเกมมากขึ้น หรือติดสื่อสังคมมากขึ้น เป็นต้น ในเด็กที่พัฒนาการการสื่อสารหรือการรับรู้อารมณ์ตนเองยังไม่ดีนัก อาจมีอาการเจ็บป่วยทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง หรือมีพฤติกรรมถดถอยกลับไปสู่วัยเด็กเล็ก เช่น พฤติกรรมงอแง อาละวาด หรือไม่อยากไปโรงเรียน เป็นต้น
สาเหตุที่ทำให้เด็กเป็นโรคซึมเศร้า
๑. พันธุกรรม เด็กที่พ่อแม่มีภาวะซึมเศร้าจะมีอัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าได้สูงกว่าเด็กทั่วไป
๒. สารเคมีในสมอง ผู้ป่วยภาวะซึมเศร้าจะมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองที่ผิดปกติ ทำให้ส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์ ร่างกายและจิตใจ
๓. ปัจจัยแวดล้อมภายนอกหรือปัญหาทางจิตสังคม เช่น ปัญหาการเลี้ยงดู ความรุนแรงในครอบครัว การถูกกลั่นแกล้ง
๔. มุมมองต่อตนเอง เด็กที่มีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำและเด็กที่มีความวิตกกังวลสูงจะมีอัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าได้สูงกว่าเด็กทั่วไป ทำให้เด็กหนีปัญหา โทษตัวเองซ้ำ ๆ และมองโลกในแง่ร้าย
๕. ปัจจัยโรคทางกายอื่น ๆ โรคทางกายหรือยาบางชนิดส่งผลต่อฮอร์โมนและสารเคมีในสมอง ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ นอกจากนี้เด็กที่มีภาวะโรคเรื้อรัง ไม่สามารถใช้ชีวิตตามวัยได้ตามปกติก็มีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าได้ด้วย
การดูแลและการรักษา เมื่อสงสัยว่าเด็กเป็นโรคซึมเศร้า
๑. พ่อแม่จำเป็นต้องทำจิตใจตนเองให้สงบและพร้อมต่อการรับฟังเรื่องต่าง ๆ ของลูก
๒. หาบรรยากาศที่สงบ ผ่อนคลาย พูดคุยถึงอาการที่พ่อแม่สังเกตเห็นและสะท้อนให้ลูกเข้าใจถึงความห่วงใย ความพร้อมที่จะเข้าใจและช่วยเหลือของพ่อแม่
๓. เปิดโอกาสให้เด็กพูดและระบายความรู้สึก โดยไม่แย้งหรือรีบสอน
๔. หากพบว่าเด็กมีภาวะซึมเศร้าให้ชักชวนมารับการรักษากับจิตแพทย์ และหากพบความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ให้พ่อแม่คอยเฝ้าระวังพฤติกรรมของลูก เก็บของมีคม สารเคมี ยาหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เด็กสามารถใช้ในการทำร้ายตนเอง
๕. ไม่ปล่อยเด็กไว้ตามลำพัง และรีบพาไปพบแพทย์
พ่อแม่ผู้ปกครองจะทำอย่างไรเมื่อเด็กเป็นโรคซึมเศร้า
๑. ยอมรับภาวะที่เด็กเป็นและไม่โทษอดีตที่ผ่านมา
๒. รับฟังปัญหาของลูกอย่างเข้าใจ เปิดใจ และอยู่เป็นเพื่อนในยามที่ลูกไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ ไม่ปล่อยให้ผู้ป่วยอยู่ตามลำพัง
๓. กระตุ้นและสนับสนุนให้เด็กทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติมากที่สุด และอาจชักชวนให้ผู้ป่วยออกไปข้างนอก ลดการเก็บตัว และออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยให้การรักษาดีขึ้น
๔. คอยดูแลเรื่องการกินยาของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
๕. ประเมินสภาวการณ์ฆ่าตัวตาย จากการสังเกตและสอบถามเมื่อสงสัย หากมีความเสี่ยงให้ปฏิบัติตามข้อที่กล่าวไปแล้ว
๖. ดูแลสุขภาพกายและใจของตนเองและสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ให้เป็นปกติ
ตัวอย่างคำถามที่ใช้ในการประเมินความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย
- พ่อแม่รู้ว่าหนูเศร้ามาก ความเศร้าของหนูทำให้หนูเคยคิดฆ่าตัวตายเลยไหม
- พ่อแม่เห็นว่าลูกเครียดมาก ลูกเคยมีความคิดอยากหายไปจากโลกนี้เลยไหม แล้วในความคิดของลูก ลูกใช้วิธีอะไรในการหายไปจากโลกนี้
การถามคำถามประเมินความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย จำเป็นต้องถามอย่างใจเย็น ให้เด็กได้เล่าอย่างผ่อนคลายและเปิดใจ อย่าแสดงท่าทีตื่นตกใจหรือตำหนิต่อว่า จากการศึกษาพบว่า “การที่เด็กได้รับการประเมินจะช่วยป้องกันการฆ่าตัวตายในเด็กได้ดีกว่าการไม่ถาม”
ขอพ่อแม่ทั้งหลายอย่าเห็นเป็นเรื่องว้าวุ่นของวัยรุ่น และคิดเอาเองว่าเดี๋ยวก็หาย เป็นอารมณ์วัยทีน ฯลฯ เด็ดขาด และสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการประชดส่ง แกอยากตายนักใช่ไหม ก็ไปกระโดดตึกเลยสิ เพราะคำพูดอย่างนี้ทำร้ายความรู้สึกของผู้ฟังอย่างแรง ผลที่ตามมาคือลูกทำตามคำพ่อแม่ เพราะนึกว่าพ่อแม่ไม่รัก และสุดท้ายคือภาพพ่อแม่ต้องมานั่งร้องไห้น้ำตาจะเป็นสายเลือดหน้าโลงศพลูก แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว
ข้อมูล มูลนิธิหมอชาวบ้าน
เรียบเรียงโดย "เอื้อยอ้าย"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น