วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

“รถเหาะคันแรกของโลก” เปิดตัวแล้ว

       เอเจนซีส์ – “แอโรโมบิล 3.0” (AeroMobil 3.0) ทำให้คนทั่วโลกตื่นตะลึงด้วยความสามารถของรถไฮบริดบินได้ต้นแบบเป็นคันแรกของโลกจากบริษัทแอโรโมบิลที่มีฐานอยู่ในสาธารณรัฐสโลวาเกียที่มุ่งมั่นพัฒนาคิดค้นนวัตกรรมยานยนต์ล้ำอนาคตนี้ตั้งแต่ช่วง 90ได้เปิดตัวที่งานแสดง Pioneers Festival ที่กรุงเวียนนาเมื่อวานนี้ (29) เรียกเสียงฮือฮาได้อย่างล้นหลาม ด้วยเครื่องยนต์ Rotax 912 ULS  ปีกที่พับเก็บได้ มีขนาดที่นั่ง 2 ที่อยู่ภายใน ตัวรถทำด้วยโลหะน้ำหนักเบาที่เคลือบผืนผิวด้วยคาร์บอน ที่สนนราคาอยู่ระหว่างซูเปอร์คาร์และเครื่องบินเล็ก
       สื่อต่างประเทศ เช่น เดลีเมล์ และ The Wire เปิดตัวรถไฮบริดบินได้ “แอโรโมบิล 3.0” (AeroMobil 3.0) สัญชาติสโลวาเกียเมื่อวานนี้ (29) ที่งานความก้าวหน้าทางนวัตกรรมของโลก Pioneers Festival กรุงเวียนนา ออสเตรีย ที่รถไฮบริดกึ่งเครื่องบินเล็กจะเปิดมิติการเดินทางครั้งใหม่ของผู้คนที่ต้องติดอยู่กับท้องถนนในการจราจรที่คับคั่งไปยังท้องฟ้าที่ผู้ขับขี่นอกจากต้องพกใบขับขี่รถแล้ว ยังต้องมีใบอนุญาตขับเครื่องบินเล็กติดตัวอีกด้วย
       
       เดลีเมล สื่ออังกฤษรายงานวันนี้ (30) ว่า แอโรบิล 3.0 มาพร้อมความเร็วสูงสุดบนท้องถนน 160 กม./ชม. และความเร็วสูงสุดในขณะบิน 160 กม./ชม. ซึ่งแอโรบิล 3.0 นี้เป็นรถต้นแบบในโปรเจกต์ที่พัฒนาโดยทีมวิศวกรของบริษัท แอโรโมบิล ที่มีฐานอยู่ในบราติสลาวา (Bratislava) สาธารณรัฐสโลวาเกีย และมีผู้ก่อตั้งทั้งสอง สเตฟาน ไคลน์ (Stefan Klein) และยูราก วาคูลิก (Jurak Vaculik )
       
       ไทเทียนา เวเบอร์ (Tatiana Veber) โฆษกแอโรโมบิลแถลงว่า “เราได้เริ่มพัฒนาคิดค้นรถบินได้ตั้งแต่ปี 1990 ซึ่งรถต้นแบบคันแรกสุดที่สร้างนั้นมีรูปร่างที่แปลกประหลาดมาก และมีความยุ่งยากในการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน และทำให้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนนำมาสู่การพัฒนาที่จะทำให้รถไฮบริดของเรานั้นสามารถขับได้ภายใต้กฎหมายจราจรบนท้องถนนทั่วไป และเราได้รับเสียงตอบรับชื่นชมอย่างมากจากผู้เชี่ยวชาญด้านอากาศยานยนต์ถึงการออกแบบที่สวยงามผสมผสานกับเทคโนโลยีอย่างลงตัวในระบบการเปลี่ยนจากรถเป็นเครื่องบิน”
       
       นอกจากนี้ โฆษกของแอโรโมบิลยังแถลงเพิ่มเติมว่า “และนอกเหนือไปจากนี้ แอโรบิล 3.0 ที่มีเครื่องยนต์ Rotax 912 ULS ยังถูกออกแบบให้ผู้ขับขี่สามารถเติมน้ำมันตามปกติที่ปั๊มน้ำมันเหมือนเช่นรถทั่วไปได้”
       
       เดลีเมลรายงานว่า บริษัท แอโรบิลชี้ว่า รถไฮบริดต้นแบบนี้สามารถจอดในซองจอดรถของลานจอดรถตามปกติทั่วไปได้ด้วยความกว้างของยานต์ยนต์ที่ 2.2 ม.เมื่อยามขับขี่ตามปกติบนท้องถนนทั่วไปในระยะทางสูงสุด 875 กม.
       
       และเมื่อผู้ขับขี่ต้องการบินแอโรบิล 3.0 ที่มีน้ำหนักสุทธิ 450 กก. ปีกที่พับเก็บไว้ซ่อนอยู่จะกางออกทำให้ขยายความกว้างของตัวรถออกไป โดยมีความกว้างใหม่ทั้งหมดราว 8.2 ม. และความยาว 6 ม.ที่มาพร้อม 2 ที่นั่งอยู่ภายในห้องโดยสาร รวมไปถึงความเร็วขณะเทกออฟที่ 130 กม/ชม.
       
       ด้าน The Wire รายงานว่า ได้มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับแอโรบิล 3.0 ก่อนที่จะมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปีหน้า พร้อมกับได้สัมภาษณ์กับผู้ก่อตั้งบริษัทถึงแรงบันดาลใจในการคิดค้นรถล้ำอนาคตคันนี้
       
       “เราได้รับคำเชิญเข้าร่วมงานมอเตอร์โชว์เป็นจำนวนมาก” วาคูลิกเผยกับ The Wire และกล่าวต่อว่า “แต่ทางเราตัดสินใจตอบรับงาน Pioneers Festival ที่กรุงเวียนาเพราะคิดว่าเหมาะกับเรามากที่สุด” ซึ่งโปรเจกต์รถเหาะนี้ล้วนเกิดมาจากทุนส่วนตัวทั้งสิ้น
       
       เบื้องหลังการพัฒนาไฮบริดบินได้เกิดมาจากความคิดที่ต้องการให้ผู้คนสามารถเลือกการเดินทางได้อย่างอิสระ และยังเกิดมาจากควมกดดันในสภาพชีวิตประจำวันที่ผู้คนต้องผจญกับรถติดบนท้องถนนเป็นเวลานาน รวมไปถึงความล่าช้าและยุ่งเหยิงของผู้โดยสารที่ต้องประสบในสนามบิน ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ทางแอโรโมบิลใช้ในการพัฒนาแอโรโมบิล 3.0
       
       และผู้ก่อตั้งแอโรโมบิลยังกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังมีเหตุผลที่สามในการพัฒนาโปรเจกต์นี้ กล่าวคือ หลายประเทศที่ยังไม่มีการพัฒนาด้านสาธารณูปโภค โดยมีเพียงแค่ 3% ทั่วทั้งโลกที่มีถนนทางเรียบ และทำให้ทีมผู้สร้างใช้เป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนารูปแบบยานยนต์ที่ตอบโจทย์นี้
       
       The Wire ยังรายงานเพิ่มเติมว่า ผู้ขับขี่ไฮบริดบินได้จำเป็นต้องมีใบอนุญาตขับเครื่องบินเล็ก แต่ทางเจ้าของบริษัทยืนยันว่า การบังคับแอโรโมบิล 3.0 ไม่ยุ่งยาก และมีความเสถียร แต่กระนั้นในขณะนี้ถึงแม้จะมีผู้สนใจทุ่มทุนเสนอราคาซื้อสูงมากเพียงใด แต่บริษัทยานยนต์สัญชาติสโลวาเกียยังไม่เปิดรับใบสั่งซื้อแต่อย่างใด จนกว่าทางบริษัทจะมั่นใจว่าจะสามารถผลิตได้ตามมาตรฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วไป
       
       “เราต้องการเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจยานยนต์อย่างแท้จริง และนี่ไม่ใช่ของเล่นเด็กผู้ชาย รวมถึงเราไม่ได้สร้างอุปกรณ์ประกอบฉากภาพยนตร์ของฮอลลีวูด” วาคูลิกกล่าว และแย้มว่า สนนราคาของรถไฮบรดนั้นจะอยู่ในช่วงระหว่างรถซูเปอร์คาร์ และเครื่องบินเล็ก
       
       ในขณะนี้บริษัท แอโรโมบิล มีพนักงานประจำทั้งหมด 12 คน และจากเว็บไซต์ของบริษัท แอโรโมบิล ได้เริ่มต้นกำหนดทดลองบินภายใต้สภาพการบินแท้จริงทั่วท้องฟ้าสโลวาเกียตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป
ผู้จัดการ

ภูเขาไฟ “ตูร์ริอัลบา” ในคอสตาริกาปะทุใหญ่ ประกาศเตือนภัยฉุกเฉินแล้ว

       ทางการคอสตาริกาประกาศเตือนภัยฉุกเฉินในวันพฤหัสบดี (30 ต.ค.) หลังเถ้าถ่านที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟ “ตูร์ริอัลบา” ได้ลอยฟุ้งกระจายมาถึงกรุงซาน โฮเซ เมืองหลวงของประเทศ และอีกหลายพื้นที่
       
       รายงานข่าวจากต่างประเทศระบุว่า หลังภูเขาไฟได้เกิดการปะทุอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันอังคาร (28 ต.ค.) ที่ผ่านมา คณะกรรมการสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติคอสตาริกา ได้ออกคำสั่งปิดพื้นที่อุทยานแห่งชาติที่อยู่โดยรอบภูเขาไฟลูกนี้
       
       หลายชุมชนในเมืองดังกล่าวที่สุ่มเสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากเถ้าถ่านที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟลูกนี้  กลิ่นของกำมะถันคละคลุ้งไปทั่ว ขณะที่เถ้าถ่านและกลุ่มควันที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟครั้งนี้ ถูกพบว่าลอยไปไกลถึงเมืองซิวดาด โกลอนที่อยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร
       
       นักธรณีวิทยาจากเครือข่ายเฝ้าระวังด้านแผ่นดินไหววิทยาแห่งชาติของคอสตาริกา เผยว่าการปะทุรอบนี้เกิดขึ้นบริเวณรอยแยกแห่งใหม่ของภูเขาไฟตูร์ริอัลบาที่เกิดขึ้นใกล้กับปากปล่องเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ขณะที่กลุ่มควันและเปลวเพลิงที่ถูกพ่นออกมานั้นมีความสูงกว่า 300 เมตร ส่งผลให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ในพื้นที่ต้องล่าถอยออกมาเพื่อความปลอดภัย
       
       นอกเหนือจากการปะทุของภูเขาไฟตูร์ริอัลบาแล้ว ทางการคอสตาริกายังคงเฝ้าระวังภูเขาไฟอีก 2 ลูกในประเทศของตนที่อาจเกิดการปะทุในไม่ช้า ทั้งภูเขาไฟรินกอน เด ลา เบียฮาทางตะวันตกเฉียงเหนือ และภูเขาไฟโปอัสทางภาคกลางของประเทศ

ผู้จัดการ

อารมณ์ไม่บูดกับห้าสูตรบำรุงลำไส้

ในชีวิตหนึ่งของมนุษย์ย่อมต้องเคยทำสิ่งผิดพลาด ที่ผ่านมาอาจโชคดีจึงไม่ทำให้ชีวิตสะดุดนัก แต่อีกหลายท่านก็ไม่โชคดีเช่นนั้น ชีวิตถึงกับเปลี่ยนไปได้จากการสะดุดเพียงครั้งเดียว

ยาเสพติดเป็นหนึ่งในสิ่งสะดุด
เป็นคันกระดกอันใหญ่ในชีวิตที่หลายคนผ่านไปไม่ได้ ว่ากันว่าคนที่ติดยาเสพติดง่ายคือคนที่ใจอ่อน ซึ่งก็ถูกส่วนหนึ่งครับ แต่ที่โดนตรงๆก็คือคนที่ “ขาดรัก” ซึ่งรวมถึงไม่รู้จักรักด้วย บางทีความรักที่เรารู้สึกรักอาจไม่ใช่ความรักจริงๆก็ได้ คนที่มีใจขาดรักมาก่อนมักจะรักคนอื่นไม่เป็นและในใจลึกๆก็จะรู้สึกไม่มั่นคง
แม้จะร่ำรวยมหาศาล
แต่อาการขาดรักจนติดยาก็ยังเกิดได้ ในสมองของเราโดยปกติก็มีสารเสพติดอยู่มากครับ ไม่แปลกเลยครับที่มันมีและต้องมีอย่างขาดไม่ได้เสียด้วย เพราะไม่เช่นนั้นเราจะ end up อย่างคนป่วยซึมเศร้า,คนป่วยโรคจิตเภทและคนป่วยย้ำคิดย้ำทำ
แต่ความสุขไม่ได้เกิดจากในหัวอย่างเดียว
เคมีแห่งจิตเหล่านี้มีในพุงของเราด้วยครับโดยเฉพาะในส่วนลำไส้และทางเดินอาหารส่วนอื่น พูดง่าย ๆ ว่าลำไส้มีส่วนทำให้เราร่าเริงได้ เรื่องจริงนี้เพิ่งถูกย้ำจาก ดร.นาตาชา แม็คไบรด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านลำไส้และจิตวิทยาแห่งสหราชอาณาจักร โดยเธอได้เน้นถึงความสำคัญที่จะสร้างสุขตั้งแต่วัยเด็ก ช่วยให้ปัญหาออทิสติก,สมาธิสั้น และอาการเด็กพิเศษอื่นๆ กลายเป็นเรื่องเล็ก
โดยเริ่มแก้ที่ลำไส้ก่อน
สุขที่ใจมาจากไส้ที่ดี
ปัญหาถึงสมองที่มาจากลำไส้ก็เพราะว่ามี “ทางด่วน (Gut-brain pathway)” ที่เชื่อมผ่านเส้นประสาทสมองที่ 10 (Vagus nerve) ไปกระตุ้นสมองได้ และจากสมองก็ส่งสัญญาณมาที่ลำไส้ผ่านทางด่วนเส้นนี้
ลำไส้มีเคมีร่าเริง (Serotonin) มากกว่าในสมองที่ผลิตได้เสียอีก ดังนั้นอารมณ์ดี อารมณ์เศร้าจึงเกิดจากลำไส้ได้เช่นกัน ถ้าลำไส้อักเสบ ติดเชื้อ ท้องเสียจะทำให้ไม่อาจสร้างเคมีสมดุลย์ให้สมองได้ เป็นเหตุให้การแพทย์ยุคใหม่หันมาสนใจดูแลลำไส้กันอย่างลึกซึ้งขึ้น
โดยเน้นที่อาหารบำรุงลำไส้ที่ให้ร่างกายสุขภาพดีไม่ติดเชื้อในทางเดินอาหาร  แม้จะเกิดอาการดวงแตก ดาวเสาร์เปลี่ยนลัคนา แต่ถ้าลำไส้ดีเสียอย่าง  จิตใจท่านก็จะพร้อมรับทุกปัญหา สำหรับอาหารที่จะช่วยเสริมภูมิลำไส้ประเภทอยู่ใกล้ตัวมีดังต่อไปนี้…
1) นมเปรี้ยว โยเกิร์ต, แลสสี(นมเปรี้ยวอินเดีย) เน้นให้หมักแบบธรรมชาติ ไม่ใช่ที่ขายกันเกร่อกินแล้วหวานจัด ใส่กรดเปรี้ยวกับน้ำตาลอย่างเดียว
2) ผักดอง จะเป็นผักกาด, แตงกวา, ไชเท้า, บ๊วย และอีกมาก  ดองที่หมักจากเชื้อดี แม้วิตามินจะหายไปแต่ก็ยังให้เส้นใยกับโปรไบโอติกส์ที่ช่วยสนับสนุนลำไส้ให้ทำงานเป็นปกติ
3) ข้าวหมาก ข้าวเหนียวที่หมักกับลูกแป้งหน้าตาคล้ายอีเอ็มบอลให้เชื้อดีที่ไปช่วยน้ำเน่า เอ๊ย…ไส้เน่าให้หายเจ็บป่วย ช่วยให้ทางเดินอาหารเข้าสู่สมดุลย์ดีขึ้น การกินข้าวหมากไม่มากไม่ทำให้เมา
4) กิมจิ มีทั้งเชื้อดีและวิตามินบี 12 ที่ช่วยป้องกันเลือดจาง การกินกิมจิช่วยให้ผิวพรรณดีด้วย  จากวิตามินเอและความเผ็ดที่ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี แม้จะเป็นของเกาหลีแต่บ้านเราก็ทำเองได้ครับ
5) นัตโตะ ถั่วเน่าเหนียวยืดกลิ่นหอมตุแต่มันอร่อย ถั่วเน่าหมักอย่างนี้มีเชื้อดีกับเอนไซม์ “นัตดตะไคเนส (Nattokinase)” ที่ช่วยสุขภาพป้องกันโรคได้มากครับ
ของดีที่ช่วยบำรุงลำไส้ในอาหารเหล่านี้คือ “โปรไบโอติกส์(Probiotics)”  เป็นเชื้อจุลินทรีย์ตัวดีที่ลงไปเป็นเจ้าบ้านเฝ้าลำไส้ไม่ให้เชื้ออักเสบเข้ามากล้ำกราย ดังนั้นจะไปหาว่าของหมักของดองเป็นของไม่ดีเสมอไปคงไม่ได้ เพราะมันทำให้ลำไส้ได้เข้าสู่สมดุลย์
และเมื่อท้องไส้ดีก็ส่งผลถึงสมองด้วย(Gut and psychology) นอกจากนั้นการกินผักและผลไม้สดก็จะยิ่งช่วยเสริมกันให้ทำงานดีขึ้น มนตราสำคัญของอายุรวัฒน์โภชนาคือกินให้มากพอ กินให้หลากหลายและกินให้เหมาะสม การกินปรับอารมณ์ดังว่านี้เป็นศาสตร์ใหม่ที่จะมาช่วยให้จิตใจดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยาทางจิตประสาทมาก หากนอนไม่หลับก็มีอาหารที่ช่วยกล่อมสมองให้หลับโดยผ่านทางเส้นประสาทลำไส้อีกต่างหาก
อยากให้อารมณ์ดีต้องลองดูแล้วค่ะ
jog-30-10-2014

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

“น้ำส้มสายชู” ในครัว ใช้ทำอะไรได้บ้าง

รู้แล้วไม่ต้องอึ้งนะ แต่ให้บอกต่อ ๆ กันไป
1. ยามไปเที่ยวทะเล เจอแมงกะพรุนไฟเข้า ราดน้ำส้มตรงบริเวณที่ถูกแมงกะพรุนทันที จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้ทันใจ
2. ผิวที่เจอแดดจัดๆจนเป็นรอยเกรียมลูบด้วยน้ำส้มสายชู ผิวที่ไหม้จะไม่พองให้ปวดแสบ
3. ใช้น้ำส้มสายชูดองเปรี้ยวผักต่างๆ เช่น ต้นหอม ผักเสี้ยน กระเทียม ขิง จะถนอมอาหาร
4. รองเท้าหนัง รองเท้ายาง หรือสารสังเคราะห์ใด ๆ ก็ตาม หากเปื้อนน้ำมันให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูแล้วจะหมดรอย
5. กระจกบานเกล็ดสกปรก ล้างด้วยน้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาด งรับรองเงางาม สะอาด ใส
6. หม้ออะลูมิเนียมเป็นคราบดำ น้ำส้มสายชูละลายขี้เถ้าใต้เตาถ่าน ขัดถูสะอาดเอี่ยม
7. ภาชนะทองแดง ทองเหลือง ขัดด้วยน้ำส้มผสมเกลือในอัตราส่วนเท่ากัน ใช้ผ้านุ่มจุ่ม
พอหมาดเช็ดถู จะแวววาวขึ้น
8. ของใช้พลาสติก ตลอดจนภาชนะอื่นๆ ในครัวเปื้อนไขมันมากจนเป็นรอยดำ ให้แช่ในน้ำอุ่นผสมน้ำส้มสายชู รอยเปื้อนจะหายไปพร้อมกับกลิ่นอาหาร
9. ปัญหาของเตาอบ ถาดอบ เครื่องครัวแสตนเลสและพื้นครัว เป็นคราบสกปรกล้างยาก ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดถู คราบฝังแน่นกับเศษอาหารตามพื้นจะหลุดง่าย ไม่เปลืองแรงขัด
10. เฟอร์นิเจอร์ ฝาผนังบ้านด่างดำ มีคราบนิ้วมือของสมาชิกตัวเล็ก ใช้ผ้านุ่มชุบน้ำส้มสายชูร้อนๆ เช็ดปุ๊ปหายปั๊ป
11. อ่างล้างมือ อ่างอาบน้ำ ราวโครเมียมสกปรก เป็นสนิม น้ำส้มสายชูกับน้ำสบู่ เช็ดถู ทุกอย่างเงางามสะอาดตา
12. รอยเปื้อนเสื้อผ้าบริเวณรักแร้ที่เป็นคราบเหลือง ใช้น้ำส้มสายชูทาตรงรอยเปื้อนให้ชุ่ม หากได้แช่เสื้อผ้าในน้ำส้มสายชูสักครู่ก่อนซักตามปกติ กลิ่นเปรี้ยวและเหม็นอับจากเหงื่อจะหายไปพร้อมรอยเปื้อน
13. กลิ่นอาหาร กลิ่นผลไม้แรงๆอย่างทุเรียนที่ติดตามภาชนะพลาสติกนั้น ให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูตามด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้ง
14. ท่อระบายน้ำภายในอาคารบ้านเรือนที่มักสกปรกเร็ว ตามด้วยกลิ่นเหม็นรุนแรงรบกวนความสุข ให้เทผงฟูลงท่อน้ำร่องไปก่อน 1 กำมือ สักครู่ตามด้วยน้ำส้มสายชูอีก 1 ถ้วย ทิ้งไว้สักพัก ลองเปิดน้ำระบายดูอีกที
15. เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อวัว เนื้อควาย ถ้าแช่น้ำเกลือผสมน้ำส้มสายชูก่อนเก็บเข้าตู้เย็น กลิ่นคาวจะไม่ออกมารบกวนอาหารอื่นๆด้วย
16. ฝักบัวในห้องน้ำเกิดอุดตันใช้ไม่สะดวก น้ำที่ไหลกะปริดกะปรอย ลองถอดชิ้นส่วนออกมาแช่น้ำส้มสายชูปัดเศษฝุ่นด้วยแปรง แทงตามรูด้วยเข็มหมุด ล้างให้สะอาดประกอบเข้าที่เดิม คราวนี้ฝักบัวไหลฉลุยแน่นอน
17. ขวด แจกัน คนโทที่ปากแคบคอดเล็ก ทำความสะอาดยาก กรอกน้ำส้มสายชู ผสมเปลือกไข่ทุบพอละเอียด แช่ไว้ แล้วเขย่าๆ เศษคราบสกปรกจะหลุดโดยง่าย
18. หม้อและกาต้มน้ำชากาแฟทั้งหลาย ใช้ไปนาน ๆ มักมีตะกรันหินปูนจับหนา ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำอย่างละถ้วย เทลงในภาชนะ ต้มให้เดือด แล้วทิ้งให้เย็น ค้างไว้ 1 คืน ตะกรันจะหลุดเป็นกระบิทีเดียว
19. สุภาพสตรีที่ต้องการม้วนผม เซ็ทผมให้อยู่ตัว หรือหยิกทนนาน โกรกผมด้วยน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เมื่อสระและเซ็ทตามปกติ ผมจะหยิกเป็นลอนสลวย ทนนานสะใจหลายวัน
20. ไข่สดและใหม่มากเกินไป เวลาทำไข่ต้มมักมีปัญหาปอกเปลือกยาก ไข่เป็นรอยขรุขระ ไม่น่ารับประทาน ลองเติมน้ำส้มสายชูครึ่งช้อนชาลงในน้ำต้มไข่ ไข่ขาวจะไม่ติดเปลือก ปอกง่ายขึ้นกว่าเดิม
21. ต้มแปรงสีฟันขนแข็งๆ ในน้ำส้มสายชู ขนจะนุ่มไม่ทิ่มเหงือกให้เจ็บปากอีก
22. ปัญหาหินปูนจับตามเครื่องซักผ้า เครื่องล้างชาม แก้ด้วยน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย เทใส่เครื่องพร้อมปิดฝา เปิดเครื่องให้ทำงานตามปกติจะเห็นเครื่องสะอาดทันตา หรือ วิธีรักษาเครื่องซักผ้า ให้ใช้น้ำอุ่นพอประมาณ ผสมน้ำสมสายชูสักครึ่งลิตรใส่ลงไปในเครื่องซักผ้า เปิดสวิตซ์ทำงานปกติ น้ำส้มสายชูจะช่วยไล่คราบฝุ่นออกจากตัวเครื่อง และป้องกันการอุดตันได้ด้วย
23. อยากรับประทานผัดไทย หอยทอด ขนมจีน กับถั่วงอก อวบอ้วน ขาว กรอบละก็แช่ถั่วงอกลงในน้ำผสมน้ำส้มสายชูไว้สักครู่
24. ดอกกุหลาบช่อใหญ่ อยากให้สดอยู่นานๆ น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 5 กรัม ผสมน้ำสะอาด 5 ถ้วย ให้ฉีดพ่นกุหลาบทั้งช่อ
25. แก้ปัญหาก้นหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่ใช้ไปนานๆ เกิดคราบดำผสมคราบไคลน้ำข้าวจับหนาเตอะ อย่าใช้ฝอยขัดหม้อขัด ให้ใช้น้ำส้มสายชูครึ่งส่วนผสมน้ำ 1 ส่วน เติมลงหม้อ เสียบปลั๊ก รอจนเดือดปุดๆ จึงถอดปลั๊ก เทน้ำทิ้ง ล้างด้วยฟองน้ำจะออกง่าย
26. หยดน้ำส้มสายชูลงบนแว่นตา เช็ดด้วยผ้านุ่ม รอยขีดข่วนจะหายไป พร้อมคราบเหงื่อไคล
27. เสื้อผ้าสีขาวสะอาด เมื่อใช้ไปนานๆ มักกลายเป็นสีขาวขุ่น เพียงผสมน้ำส้มสายชูขณะซัก จะทำให้ผ้าขาวสะอาดยิ่งขึ้น
28. ลองใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดชำระล้างผมในน้ำครั้งสุดท้าย จะพบว่าช่วยล้างแชมพูได้สะอาดหมดจด เส้นผมเป็นเงางาม มีน้ำหนัก ปราศจากรังแคด้วย
29. แก้ปัญหาสีน้ำแห้งแข็ง ใช้น้ำส้มสายชูผสมทิ้งเอาไว้   สีน้ำที่แห้งแข็งก็จะอ่อนเหลว นำมาใช้ได้ใหม่อีกครั้ง
30. แก้ปัญหากะทะใหม่ ที่มักประสบปัญหาทอดอาหารแล้วติดกะทะ ก่อนนำกะทะมาใช้ให้เทน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำเท่าๆ กันลงในกะทะและนำไปตั้งไฟรอจนเดือด แล้วเทน้ำส้มสายชูทิ้ง ใช้น้ำสะอาดล้างอีกที จากนั้นก็ใช้งานตามปกติ
31. ย่างปลาไม่ให้ติดตะแกรง นำน้ำส้มสายชูมาทาให้ทั่วตะแกรงก่อนย่างปลา เวลาปลาสุกจะไม่ติด และทำความสะอาดตะแกรงง่าย
32. ขจัดคาวปลาหมึก ใช้น้ำส้มสายชูแกว่งกับน้ำ นำปลาหมึกมาแช่ไว้ 5-10 นาที กลิ่นคาวปลาหมึกจะหมดไป
33. ก่อนจะลอกหนังปลาหมึกให้แช่ปลาหมึกในน้ำส้มสายชูสักครู่ จะลอกหนังง่ายขึ้น
34. ป้องกันไม่ให้หัวปลีดำ ต้องแช่หัวปลีลงในน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง
35. หุงข้าวสวยให้เป็นปุย ใส่น้ำมะนาว หรือ น้ำส้มสายชู ลงในหม้อข้าวขณะหุง เมื่อข้าวสุกจะไม่เหนียวติดกัน
36. ทอดอาหารไม่ให้อมน้ำมัน เติมน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำมันเล็กน้อย
37. ขจัดรอยจีบกระโปรง ใช้ฟองน้ำชุบน้ำส้มสายชู ทาตรงรอยจีบให้ทั่ว แล้วใช้ผ้าบางๆ ทาบรีดด้วยเตารีดอุ่นๆ รอยจีบกระโปรงหรือรอยเลาะตรงขากางเกงจะเรียบหายไปตามต้องการ
38. วิธีกำจัดมดในครัว ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดตรงทางเดินมด มดจะไม่เดินมาบริเวณที่เราเช็ดด้วยน้ำส้มสายชูไว้
39. ลวกลูกชิ้นปลาที่เก่าและเหม็นคาวให้อร่อย ลูกชิ้นปลาที่แช่ตู้เย็นไว้นานๆแล้วมีกลิ่นเหม็นคาว ให้ล้างด้วยน้ำผสมกับน้ำส้มสายชู จากนั้นจึงลวกลูกชิ้น แล้วค่อยนำไปประกอบอาหาร
40. รอยเปื้อนกาวบนเสื้อผ้า ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดที่รอยเปื้อน นำมาแช่ในน้ำเย็น แล้วซักตามปกติ
41. ใช้น้ำส้มสายชูผสมต้นโทงเทงสด หรือผักคราดหัวแหวนสดๆ คั้นเอาน้ำชุบสำลีอมไว้ข้างแก้ม ค่อยๆกลืนทีละนิด แก้ฝีในคอ หรือต่อมทอนซิลอักเสบได้ชะงักนักแล
42. แช่ผักชีสักก้านในน้ำส้มสายชู ดูว่าใบยังคงเขียวไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เพื่อทดสอบว่าเป็นน้ำส้มสายชูแท้
act-30-10-2014

“ยามหัศจรรย์” ไม่ให้ผล

ชาวเยอรมันกลืนยาปฏิชีวนะบ่อยเกินไป  ทำให้ยาต่อต้านแบคทีเรียที่สำคัญลดพลังการให้ผลน้อยลง  ในปี ๒๐๑๓ เกือบ ๓๐% ของการเขียนใบสั่งยาปฏิชีวนะน่าสงสัย  ทั้งนี้ เป็นผลการศึกษาของบริษัทประกันสุขภาพ  DAK-Gesundheit ที่ได้รับการเสนอเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคมที่ผ่านมาที่เบอร์ลิน  ผลคือแบคทีเรียมากขึ้นทุกทีพัฒนาการดื้อยาและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนไข้มากขึ้นทุกที  โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่โรงพยาบาล  Herbert Rebscher ประธาน DAK-Gesundheit เรียกร้องแพทย์และคนไข้ให้จัดการกับยาปฏิชีวนะอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น  ๔๐% ของผู้ถูกสอบถามได้รับข้อมูลไม่เพียงพอเกี่ยวกับการใช้สารให้ได้ผลดี  เช่น เรียกร้องให้ให้ยาปฏิชีวนะหากเป็นหวัดหรือ Bronchitis ซึ่งไม่ช่วยอะไร  เพราะว่า ๙๐% ของทั้งหมดเป็นการเจ็บป่วยจากเชื้อไวรัส
จากการศึกษาการดูแลมากเกินไปและผิด ๆ จะชัดเจนเป็นพิเศษระหว่างช่วงเวลาของโรคหวัด  ความคาดหวังที่เป็นปัญหาของคนไข้ส่งอิทธิพลต่อพฤติกรรมการเขียนใบสั่งของแพทย์  แม้ว่าแพทย์โดยทั่วไปรู้เกี่ยวกับพื้นที่ปฏิบัติการของสารต่อต้านแบคทีเรีย  แต่เพื่อสงบจิตใจคนไข้โรคหวัดก็ยังเขียนใบสั่งยาปฏิชีวนะ  แม้ว่าอัตราการเขียนใบสั่งในเด็กลดลง
กระนั้น รายงานยาปฏิชีวนะฉบับแรกของ DAK ก็ยังแสดงว่าคนไข้เด็กที่ทำประกันยังได้รับใบสั่งยาปฏิชีวนะมากกว่าผู้ใหญ่   ผลที่ตามมาที่น่าวิตกของการใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยเห็นได้ชัดในโรงพยาบาล  ที่ซึ่งแบคทีเรียที่ดื้อยาเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนไข้  การวิเคราะห์แสดงว่ามีการพบเชื้อโรคในโรงพยาบาลในตัวคนไข้มากขึ้นทุกที  จากผู้ทำประกัน ๑ ล้านคนที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลในปีที่ผ่านมา ๒๐,๐๐๐ คน  มีเชื้อโรคที่ดื้อยาในตัว  ในปี ๒๐๑๐ ยังเป็นราว ๑๕,๐๐๐ คน  ทั่วประเทศและจากทุกบริษัทประกันสุขภาพ คนไข้ ๗,๕๐๐-๑๕,๐๐๐ คนเสียชีวิตในแต่ละปีจากการติดเชื้อที่เกิดระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาล

ไม่เลือก

รัฐบาลผสมของพรรคซ้ายและพรรคเขียว หลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าในปี ๒๐๑๗ ขณะนี้ได้รับความนิยมน้อยในหมู่ประชาชน  ตามการสอบถาม “Politbarometer“ ล่าสุดของสถานีโทรทัศน์  ZDF ๕๖% ไม่เห็นด้วย  ๑๘% ยังไงก็ได้  และเพียง ๒๓% แดง-แดง-เขียวในระดับสหพันธ์ฯ เห็นว่า ดี  ๕๔% เชื่อว่า SPD อยากให้มีการผสมดังกล่าว  แต่ขณะนี้ทั้งสามพรรครวมกันมีคะแนนเสียงเพียง ๔๓%  ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับเสียงข้างมากที่จำเป็น (SPD ๒๖% พรรคเขียว ๙% พรรคซ้าย ๘%)  ในการก่อตั้งรัฐบาลที่แคว้นทือริงเกน ขณะนี้ทุกอย่างเดินไปในทิศทางการผสมแดง-แดง-เขียวครั้งแรก ภายใต้นายก ฯ แคว้นจากพรรคซ้าย

อียูให้ทุนต้านอีโบลา

สหภาพยุโรปเพิ่มความช่วยเหลือเพื่อต่อสู้การแพร่ระบาดของอีโบลาในอัฟริกาตะวันตก ๒ เท่าเป็นราว ๑ พันล้านยูโร  เงินสนุบสนุนนี้ตั้งไว้สำหรับการดูแลคนไข้ เครื่องมือทางการแพทย์  และการควบคุมการเดินทางออกนอกประเทศ ตามที่หัวหน้ารัฐบาลใน EU ชี้แจงปิดท้ายการประชุมสุดยอดเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคมที่ผ่านมา
ขณะนี้ที่นิวยอร์กมีแพทย์ที่ทำงานให้กับองค์การ “Ärzte ohne Grenzen “ ที่ Guinea ติดเชื้อไวรัส  โดยเป็นกรณีอีโบลากรณีที่ ๔ ในสหรัฐอเมริกา  ระหว่างนี้อีโบลาระบาดไปถึง Mali ด้วย  โดยเด็กหญิงวัย ๒ ปีป่วยเป็นอีโบลาและเสียชีวิต  ขณะนี้จำนวนผู้ป่วยอีโบลาที่ได้รับการบันทึกในอัฟริกาตะวันตกเพิ่มขึ้นเป็นกว่า ๑๐,๐๐๐ กรณี  ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลกจนถึงวันที่ ๒๕ ตุลาคมที่ผ่านมา ประชาชนรวมทั้งสิ้น ๑๐,๑๔๑ คนป่วยจากเชื้อโรค  ในจำนวนนี้ ๔,๙๒๒ คนเสียชีวิต  ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ยังมีตัวเลขมืดสูง  นอกจากนั้น ยังไม่มีตัวเลขล่าสุดจากลิเบอเรียมาหลายวันแล้ว  ที่เซียราเลโอน ตัวเลขกรณีอีโบลาเพิ่มขึ้นภายใน ๓ วันเกือบ ๒๐๐ เป็น ๓,๘๙๖ กรณี  ที่ประเทศเยอรมัน โฆษกแห่งสถาบัน Robert-Koch ไม่เห็นด้วยกับการควบคุมความปลอดภัยเพิ่มเติมที่สนามบินเยอรมัน  โดยเห็นว่าการวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้เดินทางทั้งหมดเหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เรื่องใหญ่-รบ.สิงคโปร์ประกาศผลักดันใช้เงิน “หยวน-ดอลลาร์สิงคโปร์” เป็นสื่อกลางค้าขายกับจีน

        นายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง แห่งสิงคโปร์ประกาศ “เลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ” เป็นสื่อกลางในการค้าขายกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ เปิดทางสิงคโปร์และจีนใช้ “เงินหยวน-ดอลลาร์สิงคโปร์” เป็นสื่อกลางในการค้าขายทวิภาคี
       
       นายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุงแห่งสิงคโปร์ประกาศท่าทีดังกล่าวในวันอังคาร (28 ต.ค.) หลังบรรลุข้อตกลงว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือทางการเงินกับรัฐบาลจีน ในระหว่างการพบหารือทวิภาคีกับผู้นำจีน ที่นครซูโจวในมณฑลเจียงซูเมื่อวันจันทร์ (27)
       
       ผลของข้อตกลงสองฝ่ายระหว่างจีนและสิงคโปร์ดังกล่าว ส่งผลให้นับแต่นี้เป็นต้นไป การค้าขายรวมถึงการทำธุรกรรมการเงินโดยตรงระหว่างภาครัฐ ตลอดจนเอกชนของทั้งสองประเทศจะใช้สื่อกลางเป็นเงินหยวน และเงินดอลลาร์สิงคโปร์เพียงสองสกุลเท่านั้น และจะไม่มีการนำเงินดอลลาร์สหรัฐมาใช้เป็นสื่อกลางอีกต่อไป
       
       โดยคาดผลว่า จะช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน และจะช่วยลดภาระของหน่วยงานรัฐที่ต้องรับผิดชอบในการกำกับดูแล “การค้าข้ามพรมแดน” ระหว่างจีนและสิงคโปร์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
       
       รายงานข่าวระบุว่า ธนาคารชั้นนำ 13 แห่ง ให้การตอบรับต่อข้อตกลงในการเลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นสื่อกลางในการค้าขายระหว่างทั้งสองประเทศในครั้งนี้ และพร้อมให้ความร่วมมือต่อรัฐบาลของตน ในการส่งเสริมการใช้เงินหยวนและเงินดอลลาร์สิงคโปร์ในทันที
       
       ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัท “กาซปรอม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของรัสเซียซึ่งครองตำแหน่งผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลกประกาศ ยกเลิกการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นสื่อกลางในการซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างรัสเซียและจีนอย่างสิ้นเชิงโดยหันมาใช้เงินรูเบิลของรัสเซีย และเงินหยวนของจีน เป็นสื่อกลางในการซื้อขายอย่างเต็มตัว   สองฝ่ายเชื่อมั่นว่า “การยุติบทบาทของเงินดอลลาร์ในตลาดพลังงาน” จะไม่ส่งผลกระทบทางลบใดๆ ต่อทั้งบริษัท รวมถึงรัฐบาลรัสเซียและจีน การใช้เงินรูเบิลและเงินหยวนแทนนั้นจะสามารถเริ่มดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบภายใน 1 ปี หรืออย่างช้าไม่เกิน 2 ปี
       
ผู้จัดการ

“มาลาลา ยูซาฟไซ” คนแรกของโลกคว้า 2 รางวัลสำคัญในปีเดียวกัน

        ตามรายงานของสำนักข่าว เอเอฟพี “มาลาลา ยูซาฟไซ” สาวน้อยนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิทางการศึกษาของเด็กผู้หญิง และเจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้รับการโหวตให้คว้ารางวัล World’s Children’s Prize ไปครองอีกหนึ่งตำแหน่งเมื่อวันอังคาร (28 ต.ค.) กลายเป็นบุคคลแรกของโลกที่คว้า 2 รางวัลในปีเดียวกัน
       
       มาลาลา วัย 17 ปี ถูกกลุ่มตอลิบานยิงเข้าบริเวณศีรษะใกล้บ้านพักในเขตหุบเขาสวัตของปากีสถาน ฐานที่เธอเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิการไปโรงเรียนของเด็กผู้หญิง “เด็กๆ หลายล้านคนลงคะแนนโหวตมอบรางวัล World’s Children’s Prize ของปีนี้แก่มาลาลา สำหรับการเรียกร้องสิทธิให้แก่เด็กๆ” 
       
       รางวัลนี้จัดตั้งขึ้นมาในปี 2000 และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการด้านการศึกษาทั่วโลกที่สนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้ประเด็นต่างๆ ของโลก ประชาธิปไตย และสิทธิของตนเอง โดยโปรแกรมนี้จะปิดท้ายด้วยการเปิดโอกาสให้เด็กๆ ลงคะแนนโหวตว่าจะมอบรางวัลแก่ใคร
       
       บุคคลอื่นๆ ที่ได้รับรางวัลในปีนี้ด้วยได้แก่ จอห์น วูด ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ “Room to Read” เพื่อการศึกษาในสหรัฐฯ และ อินทิรา รามานคร นักเคลื่อนไหวชาวเนปาล ซึ่งช่วยเหลือบุตรหลานของนักโทษในเรือนจำ
       
       พิธีมอบรางวัลจะจัดขึ้นที่ชานกรุงสตอกโฮล์มในวันพุธ (29 ต.ค.) นี้ โดยที่ทั้ง 3 คน จะได้รับส่วนแบ่งในเงินรางวัล 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปใช้ในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเด็กต่อไป 
ผู้จัดการ

บันทึกลับชี้สหรัฐฯเคยใช้ “นาซี” นับพัน ทำงานสอดแนมในยุโรปยุคสงครามเย็น

      บีบีซีรายงานข่าว เรื่องบันทึกลับที่เพิ่งเปิดเผยล่าสุดว่า หน่วยข่าวกรองอเมริกาเคยใช้ “นาซี” เป็นสายลับทำงานในยุโรปช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อต่อกรกับสหภาพโซเวียตในยุคสงครามเย็น
       
       นักวิชาการที่ศึกษาเอกสารเหล่านี้ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่สำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (ซีไอเอ) เคยใช้บริการสมาชิกพรรคนาซี ศัตรูเก่าในช่วงสงครามโลก อย่างน้อย 1,000 คน บางคนในจำนวนนี้เป็นสมาชิกระดับสูงสุดของพรรคนาซี และถูกทาบทามเป็นสายลับให้อเมริกาในยุโรป เพื่อขับเคี่ยวกับสหภาพโซเวียตระหว่างยุคสงครามเย็น
       
       การว่าจ้างอดีตสมาชิกนาซีเหล่านี้เกิดขึ้นในบรรยากาศความหวาดระแวงและตื่นตระหนกในยุคสงครามเย็น

       การเปิดเผยคราวนี้มีขึ้นหนึ่งสัปดาห์ หลังจากการขุดคุ้ยของสำนักข่าวเอพี ที่พบว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จ่ายค่าสวัสดิการสังคมให้อดีตสมาชิกนาซีที่เป็นผู้ต้องสงสัยอาชญากรสงครามหลายล้านดอลลาร์ หลังจากคนเหล่านั้นถูกบีบให้เดินทางออกจากอเมริกา
       
       การจ่ายเงินดังกล่าวอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย ซึ่งในเวลาต่อมา กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า สวัสดิการดังกล่าวจ่ายให้แก่ผู้ที่ยอมยกเลิกความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ และเดินทางออกนอกประเทศโดยสมัครใจ

ผู้จัดการ

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ที่นั่งเด็กสั่งจากเน็ตไม่ปลอดภัย

ตามข้อมูลของสโมสรยานยนต์ ADAC  และ Stiftung Warentest ที่นั่งเด็กสำหรับรถยนต์ที่ราคาถูกสั่งซื้อได้จากในอินเตอร์เน็ตพบว่าไม่ปลอดภัย  ADAC เปิดเผยเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคมที่ผ่านมาที่มืนเช่น  ว่าในการทดสอบผลิตภัณฑ์ ๖ จาก ๑๐ ชิ้นที่มีราคาน้อยกว่า ๗๐ ยูโรถูกวิเคราะห์ว่าบกพร่อง  ผู้ทดสอบค้นพบความบกพร่องด้านความปลอดภัยอย่างหนัก  นอกจากนั้นหลายแบบยังปนเปื้อนด้วยสารพิษสูง  มีที่นั่งเด็กเพียงชิ้นเดียวที่ได้คะแนน “ดี”  ๓ ชิ้น “พอใช้”

Turbo-Abi

ที่โรงเรียนมัธยมศึกษาในแคว้นนอร์ดไรน์-เวสฟาเลนจะไม่มีการหวนคืนสู่ระบบการศึกษาเป็นเวลา ๙  ปี (G9) โดยควรมีการยึดมั่นกับการจบการศึกษาหลัง ๘ ปีที่โรงเรียนมัธยมศึกษา (G8) ที่เป็นที่ถกเถียงกัน  ทั้งนี้ เป็นการเห็นพ้องกันของผู้เชี่ยวชาญจากสหภาพและพรรคการเมือง ๓๐ คนที่ได้รับการเชิญจาก Sylvia Loehmann รัฐมนตรีศึกษาธิการของแคว้นให้มาร่วมประชุมโต๊ะกลมเกี่ยวกับหัวข้อ G8/G9   ตามรายงานสรุปของการประชุมกันครั้งนี้  ผู้เข้าร่วมต่อต้าน “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐาน” ที่โรงเรียนมัธยมศึกษา ได้แก่ การหวนคืนสู่ G8  แม้ว่าบางส่วนจะมีการให้คะแนนแย่กับการย่นระยะเวลาเรียน  แทนการหวนคืนสู่ G8 ผู้เชี่ยวชาญเห็นด้วยกับการพัฒนาต่อไปของหนทางการศึกษา ๘ ปีที่โรงเรียนมัธยมศึกษาและเสนอข้อเสนอจำนวนมาก

กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงเติบโตในเยอรมัน

นักเคลื่อนไหวปกป้องรัฐธรรมนูญจับตาดูการเพิ่มขึ้นอย่างหนักของกลุ่ม Salafisten ในประเทศเยอรมันด้วยความวิตกกังวล  Hans-Georg Maassen ประธานสำนักงานปกป้องรัฐธรรมนูญแห่งชาติกล่าวเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคมที่ผ่านมา  ว่าปัจจุบันนี้นับประชาชนได้สูงกว่า ๖,๓๐๐ คนได้เป็นสมาชิกเข้าร่วมกลุ่มนี้  จนกว่าจะถึงสิ้นปีอาจเป็น ๗,๐๐๐ คนได้  เมื่อไม่กี่ปีก่อนยังนับได้ราว ๒,๘๐๐ คน  เขากล่าวว่าเป็นการเพิ่มขึ้นที่รวดเร็ว  ซึ่งน่าเป็นห่วงด้วย  ระหว่างนี้มีหลักฐานว่าประชาชนอย่างน้อย ๔๕๐ คนจากกลุ่ม Salafisten ที่ส่วนใหญ่อายุยังน้อยเข้าร่วมสงครามที่ซีเรียและอิรัก  Maassen รายงานว่าเกี่ยวกับบุคคลกลุ่มนี้ ที่สำนักงาน ฯ สามารถระบุชื่อได้  ปัญหาคือมีจำนวนมากขึ้นทุกทีที่ปรากฏตัวที่ซีเรียและอิรักโดยที่สำนักงาน ฯ ไม่รู้จักมาก่อนเลย  ตัวเลขมืดจึงสูงมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนอายุน้อยวัยระหว่าง ๑๘-๓๐ ปี ได้รับอิทธิพลมีแรงดึงดูดใจจากลัทธิ Salafisten  ซึ่งทำให้ประชาชนหลงไหลในช่วงชีวิตที่กำลังเปลี่ยนแปลง  เนื่องจากลัทธินี้มีคำตอบมีแนวทางที่แน่ชัดว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร  Maassen กล่าวว่าวัยรุ่นที่ล้มเหลวและไม่มีจุดหมายจะตกอยู่ในกับดักแบบนี้  และมีมีสิ่งยึดแบบแผนเจริญเติบโตขึ้นจากบุคคลภายนอกเป็นบุคคลชั้นนำของสังคม
ส่วนใหญ่ของบุคคลเหล่านี้สามารถระบุได้ด้วย ๔ M ได้แก่ männlich -เป็นชาย muslimisch -เป็นชาวมุสลิม Migrationshintergrund –มีที่มาจากการอพยพและ Misserfolge- ไม่ประสบความสำเร็จในวัยรุ่น ในโรงเรียนหรือในกลุ่มสังคม  สำนักงาน ฯ เชื่อว่ามุสลิม ๗ จาก ๑๐ คนจากประเทศเยอรมันทำการพลีชีพสังหารที่ซีเรียและอิรัก  ระหว่างนี้มีชาวมุสลิมราว ๑๕๐ คนจากพื้นที่สงครามได้กลับสู่ประเทศเยอรมันอีกครั้งหนึ่ง  Maassen กล่าวว่าที่มาของการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากของบุคคลเหล่านีไม่ได้มาจากอินเตอร์เน็ต  จากประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงพบในสภาพแวดล้อมในครอบครัวหรือมิตรสหาย  ตัวอย่างเช่น ประชาชนอายุน้อยจะถูก “หมายตา” รับข้อมูล จากปฏิบัติการแจกจ่าย ใบปลิว หรือในการเทศน์และถูกนำตัวเข้าสู่แวดวงฝึกฝนอบรม  การเปลี่ยนแปลงต่อ ๆ ไปบ่อย ๆ ตามมาผ่านทวิตเตอร์และเฟซบุค

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

“เบลเยียม” นำทีมทีมวิจัยทั่วยุโรปศึกษา “โปรเจกเซรุมเลือดพิชิตอีโบลา” ในกินี

       สื่อต่างประเทศ – องค์การอนามัยโลก หรือWHO ประกาศในรายงานล่าสุดว่า ยอดผู้ป่วยติดเชื้ออีโบลาจำนวน 10,141 คนแล้วในสัปดาห์นี้ ในขณะที่ยอดเสียชีวิต 4,922 ราย ในขณะที่ทีมเจ้าหน้าที่วิจัยนานาชาติเพื่อศึกษาการใช้เซรุ่มเลือดที่ผลิตมาจากแอนติบอดี้ของผู้รอดชีวิตเพื่อรักษาผู้ป่วยอีโบลาได้เริ่มจัดตั้งขึ้น
       
       บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานวันที่ 25 ต.ค.ว่า มีเพียง 27 รายที่เกิดติดเชื้อนอกเซียร์ราลีโอน กินี และไลบีเรีย 3 ประเทศที่มีการระบาดของอีโบลาหลักในแอฟริกาตะวันตก
       
       รายงานขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO ล่าสุดถึงสถานการณ์การระบาดของโลกพบว่า ไลบีเรียยังคงเป็นประเทศที่มีการระบาดมากที่สุดด้วยตัวเลขผู้เสียชีวิต 2,705 ราย เซียร์ราลีโอน 1,281 ราย และกินี 926 รายตามลำดับ ส่วนไนจีเรียมี 8 ราย ส่วนมาลีและสหรัฐฯมีผู้เสียชีวิต 1 รายเท่านั้น
       
       ในรายงานพบว่า มียอดการติดเชื้อทั้งหมด 10,141 คนในขณะนี้ แต่กระนั้น WHO คาดการณ์ว่าตัวเลขจริงอาจจะสูงกว่านี้เพราะผู้ป่วยเหล่านั้นอยู่ภายในในบ้านพักของพวกเขา และไม่ได้เดินทางไปรักษาตัวที่ศูนย์การแพทย์ที่ทางรัฐบาลในแต่ละประเทศจัดตั้งขึ้น และพบว่าศูนย์การแพทย์จำนวนมากเหล่านี้แออัดไปด้วยผู้ป่วยติดเชื้ออีโบลา
       
       และในขณะเดียวกัน สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า ได้มีการจัดตั้งทีมนักวิจัยจากนานาชาติเพื่อวิจัยเซรุ่มเลือดรักษาอีโบลา โดยคาดว่าการศึกษาจะเริ่มขึ้นในกินี โดยทางทีมงานหวังจะใช้แอนติบอดี้ในเลือดของผู้ป่วยที่รอดชีวิตกระตุ้นการทำงานภูมิคุ้มกันโรคของคนไข้ติดเชื้อให้สามารถต่อสู้กับไวรัสได้ แต่ถึงแม้ทฤษฎีดูจะมีความเป็นไปได้ แต่ WHO รวมถึงสถาบันการแพทย์ต่างๆยังขาดข้อมูลทางคลีนิกจำนวนมายืนยันประสิทธิภาพในการใช้วิธีนี้ในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ
       
       ซึ่งในสหรัฐฯ นีน่า ฟาม พยาบาลจากโรงพยาบาลเทกซัสไบเพรสทีเรียนที่เพิ่งถูกประกาศเป็นผู้ปลอดเชื้อเมื่อเร็ววันนี้ไม่ได้รับยาทดลองอีโบลา หรือเซรุมทดลองเหมือนเช่นคนไข้อเมริกันรายอื่น แต่เธอได้รับเลือดจากเคนต์ แบรตลีย์ คนไข้อีโบลารายแรกของสหรัฐฯในขณะที่เธอทำการรักษาตัวที่โรงพยาบาลของสถาบันสุขภาพสหรัฐฯ NIH ในรัฐแมร์รีแลนด์
       
       ทั้งนี้การศึกษาเซรุมเลือดในกินีนี้จะอยู่ภายใต้การนำของสถาบันเวชศาสตร์เขตร้อน( Institute of Tropical Medicine ) ในแอนต์เวิร์ป (Antwerp) เบลเยียม และได้รับเงินสนับสนุนโครงการนี้จากสหภาพยุโรปด้วยเม็ดเงิน 2.9 ล้านยูโร และ WHO ยังสนับสนุนงานวิจัยครั้งนี้เพื่อหวังจะเป็นทางลัดในการรักษาโรคที่ในขณะนี้ยังไม่มีวิธีรักษา
       
       ด้าน Johan van Griensven จากสถาบันเวชศาสตร์เขตร้อนของเบลเยียมได้ยืนยันว่า วิธีการใช้แอนติบอดี้จากเลือดผู้ป่วยรอดชีวิตนั้นมี หลักฐานยืนยันการใช้วิธีนี้ในการรักษาโรคอื่นๆมานานมากและปลอดภัย
       
       “ทางทีมวิจัยต้องการอยากจะทราบว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลกับอีโบลาหรือไม่ และจะปลอดภัยหรือไม่ รวมไปถึงสามารถใช้วิธีนี้เพื่อทำให้การระบาดของโรคร้ายลดลงได้หรือไม่อย่างเป็นรูปธรรม” นักวิจัยจากเบลเยียมกล่าว และเสริมต่อว่า “ผู้ป่วยรอดชีวิตสามารถช่วยบริจาคเลือดเพื่อร่วมหยุดยั้งการระบาดของโรค และยังเป็นการทำให้ผู้ป่วยรอดชีวิตสามารถเป็นที่ยอมรับของสังคมได้มากขึ้น”
       
       การวิจัยครั้งนี้จะเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันการแพทย์ทั่วยุโรปและในแอฟริกา ประกอบไปด้วย สถาบันเวชศาสตร์เขตร้อนของมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล (Institute of Tropical Medicine, University of Liverpool) วิทยาลัยอนามัยและเวชศาสตร์เขตร้อนประจำลอนดอน ของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (London School of Hygiene and Tropical Medicine, University of Oxford ) Aix-Marseille University สถาบันเลือดแห่งชาติฝรั่งเศศ (French Blood Transfusion Service ) สถาบันปาสเตอร์ (Institut Pasteur) และสถาบันวิจัยแห่งชาติด้านการแพทย์และสุขภาพแห่งฝรั่งเศส ( French National Institute of Health and Medical Research)
       
       และนอกจากนี้โปรเจกนี้ยังร่วมมือกับสถาบันเลือดแห่งชาติกินี (National Blood Transfusion Centre) รวมไปถึง Institut National de Recherche Biomedicale (DRC) ในคองโก และองค์การกาชาดเบลเยียม
       
       ทั้งนี้เวลคัม ทรัสต์ (Wellcome Trust) องค์กรการแพทย์ไม่หวังผลกำไรที่มีฐานอยู่ในอังกฤษได้ร่วมมือในโครงการเซรุมเลือดรักษาอีโบลาเช่นกัน

ผู้จัดการ

อัตราว่างงานฝรั่งเศสพุ่งสูงทำสถิติใหม่ คน 3.4 ล้านคนต้องเดินเตะฝุ่น

       อัตราการว่างงานล่าสุดของฝรั่งเศสในเดือนกันยายนพุ่งสูงขึ้นจนทำสถิติใหม่ ส่งผลให้ขณะนี้มีประชาชนผู้ว่างงานสูงถึง 3.43 ล้านคน
       
       ฟรองซัวส์ เร็บซามอง รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานแดนน้ำหอมเผยผ่านสื่อดังอย่างหนังสือพิมพ์ “เลอ ปารีเซียง” โดยระบุอัตราการว่างงานของฝรั่งเศสได้ปรับขึ้นอีก 0.6 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้สัดส่วนของผู้ว่างงานในประเทศล่าสุดยังคงมีสูงกว่า 10.3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นสถิติที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์
       
       ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนมิถุนายน อัตราการว่างงานในฝรั่งเศสอยู่ที่ระดับ 10.2 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นจากระดับ 10.1 เปอร์เซ็นต์ในช่วงสิ้นไตรมาสแรก และมีความเป็นไปได้ที่อัตราการว่างงานในฝรั่งเศสอาจพุ่งทะลุ 10.4 – 10.5 เปอร์เซ็นต์ในช่วงสิ้นปีนี้ ทั้งที่เมื่อช่วงไตรมาสแรกของปี 2008 อัตราว่างงานยังคงต่ำเตี้ยเพียง 7.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
       
       ทั้งนี้ ฝรั่งเศสซึ่งได้ชื่อว่ามีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับที่ 2 ของกลุ่มยูโรโซน หรือกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินตราสกุลหลัก ยังคงไม่หลุดพ้นจากภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจจากการที่เศรษฐกิจฝรั่งเศสแทบไม่มีการเติบโตเลยตลอดช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่จำนวนผู้ว่างงานยังคงพุ่งสูงเกินกว่า 10 เปอร์เซ็นต์
       
       ขณะเดียวกัน รัฐบาลฝรั่งเศสภายใต้การนำของประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ โอลลองด์ ยังคงประสบปัญหาที่แก้ไม่ตกในการหาทางตัดลดการขาดดุลในภาครัฐที่คาดว่าจะยังคงสูงกว่า 4.4 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีในปีนี้ และ 4.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2015 

ผู้จัดการ

ปธน.หญิง “รุสเซฟฟ์” ชนะศึกเลือกตั้ง “ผู้นำบราซิล” สมัยที่ 2

       เอเอฟพี – ประธานาธิบดีหญิง ดิลมา รุสเซฟฟ์ คว้าชัยในศึกเลือกตั้งผู้นำแดนแซมบ้าด้วยคะแนนแซงหน้าคู่แข่งแบบเฉียดฉิวเมื่อวานนี้ (26 ต.ค.) และได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันมาสามัคคีเพื่อให้เกิดเอกภาพในชาติ
       
       ผลการนับคะแนน 99% พบว่า รุสเซฟฟ์ซึ่งเป็นผู้นำสตรีคนแรกของบราซิลคว้าชัยชนะไปด้วยคะแนนราว 51.52% ขณะที่คู่แข่งอย่าง อาเอซิโอ เนเวส หัวหน้าพรรคโซเชียล เดโมเครซี ปาร์ตี ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มนักธุรกิจ ได้ส่วนแบ่งคะแนนโหวตไปเพียง 48.48% น้อยกว่ากันประมาณ 3 ล้านเสียง   ได้โอกาสในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปอีก 4 ปี
       
       รุสเซฟฟ์ วัย 66 ปี ได้รณรงค์หาเสียงแข่งกับ เนเวส อย่างดุเดือดเพื่อแก้ข้อกล่าวหาเรื่องการบริหารเศรษฐกิจผิดพลาด และด้วยผลงานของพรรคแรงงานเอียงซ้าย (พีที) ที่ดำเนินนโยบายต่อสู้ปัญหาความยากจนมานานถึง 12 ปี ทำให้ประชาชนบราซิลส่วนใหญ่ยังคงเลือกที่จะภักดีต่อ รุสเซฟฟ์ ต่อไป
       
       อย่างไรก็ดี กลุ่มชนชั้นกลางบราซิลที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ต่างไม่พอใจกับปัญหาคอร์รัปชัน เศรษฐกิจที่ซบเซา ภาวะเงินเฟ้อ และบริการสาธารณะที่ไม่ได้มาตรฐาน
       
       ประธานาธิบดีหญิงให้คำมั่นต่อประชาชนว่า เป้าหมายสำคัญที่สุดของรัฐบาลคือการปฏิรูปการเมือง และยังสัญญาว่าจะเร่งปราบปราบการทุจริต หลังมีข่าวอื้อฉาวเรื่องการยักยอกเงินหลวงนับพันๆ ล้านดอลลาร์จากบริษัทน้ำมันเปโตรบราซ (Petrobras) ซึ่งมีบุคคลใกล้ชิด รุสเซฟฟ์ เข้าไปพัวพันหลายราย   “เปลี่ยนแปลง และการปฏิรูป… ” คือประเด็นที่เอ่ยถึงบ่อยที่สุดในการหาเสียงครั้งนี้
       
       ศึกเลือกตั้งในบราซิลซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลกถือเป็นการหยั่งเสียงเพื่อวัดคะแนนนิยมของพรรคพีทีที่ครองอำนาจบริหารมานานถึง 12 ปี เริ่มจากอดีตประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ดา ซิลวา ซึ่งเป็นผู้นำขวัญใจคนยากจนอยู่ 8 ปี มาจนถึง รุสเซฟฟ์ โดยชาวบราซิลนั้นต้องเลือกระหว่างผลงานด้านสังคมของพรรคพีที กับคำมั่นสัญญาของ เนเวส ที่ว่าจะปฏิรูปเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคัก
ผู้จัดการ

ชาวฮังการีนับหมื่นชุมนุมประท้วงแผนเก็บ “ภาษีอินเทอร์เน็ต”

        รายงานข่าวจากเอเอฟพี  ชาวฮังการีกว่า 10,000 คนออกมาชุมนุมประท้วงใจกลางกรุงบูดาเปสต์เมื่อวานนี้(26) เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกแผนเก็บภาษีการใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมชี้ว่าเป็น “แนวคิดถอยหลังเข้าคลอง” ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตัวนายกรัฐมนตรีที่เริ่มดังขึ้นทุกขณะ
       
       ผู้ประท้วงได้เดินขบวนไปยังที่ทำการพรรคฟิเดสซ์ (Fidesz Party) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวาของนายกรัฐมนตรี วิกเตอร์ ออร์บัน พร้อมป่าวร้องสโลแกน “ฟรี ฮังการี, ฟรี อินเทอร์เน็ต” และทิ้งคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ใช้แล้วเอาไว้เป็นสัญลักษณ์ที่หน้าประตู
       
       มิฮาลีย์ วาร์กา รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจฮังการี ได้เสนอแผนเก็บภาษีชนิดนี้เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา(21) โดยจะเรียกเก็บในอัตรา 150 ฟอรินต์ (ประมาณ 0.5 ยูโร หรือ 20 บาท) ต่อการส่งข้อมูล 1 กิกะไบต์ เพื่อช่วยเพิ่มวงเงินงบประมาณสำหรับปี 2015 แก่ฮังการี ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ที่มีหนี้สินรุงรังที่สุด
       
       นายกรัฐมนตรี ออร์บัน ถูกวิจารณ์ว่าทำตัวเยี่ยงเผด็จการเข้าไปทุกที โดยผู้จัดการชุมนุมบอกกับเอเอฟพีว่า พวกเขาเชื่อว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเก็บภาษีอินเทอร์เน็ตก็เพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อแสดงความคิดเห็น
       
       ชาวฮังการีส่วนใหญ่ยังเกรงว่า การเก็บภาษีอินเทอร์เน็ตอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจรายย่อย และทำให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลหรือสื่อการเรียนรู้ได้ยากลำบากขึ้น โดยเฉพาะในชุมชนยากจน
       
       ท่าทีของรัฐบาลฮังการียังสร้างความกังวลต่ออียู โดย นีลี โกรส์ กรรมาธิการยุโรปว่าด้วยการใช้สื่อดิจิทัล ได้ทวีตข้อความว่า “ช่างเป็นความอัปยศสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตและรัฐบาลฮังการีเอง”
       
       หลังจากนั้นไม่นาน พรรคฟิเดลซ์ได้ปรับข้อเสนอใหม่เป็นการเก็บภาษีอินเทอร์เน็ต 700 ฟอรินต์ต่อเดือน (ประมาณ 94 บาท) สำหรับประชาชนทั่วไป และ 5,000 ฟอรินต์ต่อเดือน (667 บาท) สำหรับภาคธุรกิจ แต่ก็ไม่ช่วยให้ประชาชนคลายความขุ่นเคืองลง
       
       ออร์บัน วัย 51 ปี ซึ่งได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองด้วยจำนวนที่นั่ง ส.ส. ในสภาถึง 2 ใน 3 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กำลังเผชิญแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนักในช่วงนี้ หลังสหรัฐฯ ประกาศแบนวีซาเจ้าหน้าที่รัฐบาลฮังการีหลายรายที่พัวพันการทุจริตคอร์รัปชัน
       
       นักการทูตสหรัฐฯในกรุงบูดาเปสต์ออกมาเตือนเมื่อวันศุกร์(24)ว่า “แนวโน้มเชิงลบ” เช่น หลักนิติธรรมที่อ่อนแอและการข่มขู่พลเมืองกำลังเข้า “ครอบงำ” ฮังการีอย่างรวดเร็ว
       
       ในบรรดาผู้ประท้วงชาวฮังการี มีหลายคนที่ชูธงสหภาพยุโรปและธงชาติสหรัฐฯ พร้อมป้ายข้อความประณาม “รัฐบาลมาเฟีย” 
ผู้จัดการ

ธนาคารยุโรป 25 แห่งไม่ผ่าน stress-test

ธนาคารยุโรป 25 แห่งไม่ผ่านเรื่องสถานะทางการเงิน  ตรวจสอบโดยธนาคารกลางของสหภาพยุโรป เป็นผลของการทดสอบที่เพิ่งออกมาในวันที่ 26 ต.ค.
การทดสอบที่เรียกว่า stress-test เป็นการทดสอบว่า ธนาคารเหล่านี้จะอยู่ในสถานะที่เข้มแข็งพอที่จะเอาตัวรอดในภาวะวิกฤติคือในสภาพเศรษฐกิจถดถอยเป็นเวลาสามปีได้หรือไม่ ธนาคารที่เข้าทดสอบมีทั้งหมด 130 ธนาคาร ส่วนที่ไม่ผ่านการทดสอบ 25 แห่ง คือที่ปรากฏว่ามีระดับเงินทุนไม่พอที่จะรับมือได้
       การตรวจสอบบัญชีครั้งนี้มีเป้าหมายในการป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยในยูโรโซน ไม่ให้เกิดขึ้นมาอีก ถือว่ามีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ส่อเค้าอาจเกิดวิกฤติอีกครั้ง
ธนาคารที่มีปัญหามากที่สุดคือในอิตาลี มีจำนวนถึง 9 แห่ง ขณะที่ในกรีซและไซปรัส มีธนาคารไม่ผ่านเกณฑ์ประเทศละ 3 แห่ง   ซึ่งรวมแล้วมียอดเงินทุนที่ยังต้องการอีกกว่า 25 พันล้านยูโรจึงจะรอดตัวในภาวะดังกล่าว  เมื่อถึงช่วงสิ้นปี 2013 อย่างไรก็ตามมีธนาคาร 12 แห่งจากในกลุ่มนี้ ได้เตรียมพร้อมรับมือด้วยการเพิ่มทุน 15 พันล้านยูโร 
ธนาคารกลางยุโรปยังได้ตรวจสอบทรัพย์สินของธนาคารเหล่านี้ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับการประเมินมูลค่าอย่างเหมาะสม ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่า มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) รวมกันสูงถึง 136 พันล้านยูโร
       ทั้งนี้ บรรดาธนาคารที่ประสบภาวะขาดทุนจะต้องเตรียมแผนให้เสร็จภายใน 2 สัปดาห์ แล้วมีเวลา 9 เดือนที่จะจัดการกับช่องโหว่เหล่านี้   สรุปบททดสอบนี้ด้วยมีเป้าหมายเพื่อให้ธนาคารเกิดความตื่นตัวและเตรียมรับมือกับปัญหา

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

“ภูเขาไฟ” บนเกาะคิวชูเริ่มส่งสัญญาณอันตราย-อยู่ห่าง “รฟ.นิวเคลียร์” แค่ 64 กม.

       เอเจนซีส์ – ทางการญี่ปุ่นเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการขึ้นไปยังยอดภูเขาไฟอิโอยามา (Ioyama) บนเกาะคิวชู ซึ่งเริ่มส่งสัญญาณอันตรายและมีแนวโน้มที่จะเกิดการปะทุระดับย่อมๆ ในอีกไม่ช้า โดยภูเขาไฟลูกนี้ตั้งอยู่ห่างจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพียงราวๆ 64 กิโลเมตร
       
       คำเตือนล่าสุดมีขึ้นไม่ถึง 1 เดือน หลังจากที่ภูเขาไฟออนทาเกะทางภาคกลางของประเทศได้ปลดปล่อยเถ้าถ่านร้อนออกมาคร่าชีวิตนักปีนเขาไป 57 รายแบบไม่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า ซึ่งถือเป็นภัยพิบัติภูเขาไฟที่เลวร้ายที่สุดสำหรับญี่ปุ่นในรอบ 90 ปี
       
       เจ้าหน้าที่แผนกภูเขาไฟของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น รายงานว่า ภูเขาไฟอิโอยามาเกิดการสั่นสะเทือนและมีสัญญาณของกิจกรรมภูเขาไฟเพิ่มขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ หนึ่งในนั้นคือแรงสั่นสะเทือนที่กินเวลานานถึง 7 นาที
       
       “กิจกรรมภูเขาไฟเริ่มเด่นชัดขึ้นในระยะนี้ และภายใต้เงื่อนไขบางประการก็อาจเกิดการปะทุระดับย่อมๆ แต่คงไม่ใช่การปะทุครั้งใหญ่” เจ้าหน้าที่ผู้นี้ กล่าว
       
       เจ้าหน้าที่ได้ยกระดับการเตือนภัยภูเขาไฟอิโอยามาจากขั้น “ปกติ” (normal) ซึ่งเป็นขั้นต่ำสุดมาเป็นขั้น “รองต่ำสุด” ในเวลานี้ ซึ่งหมายความว่า รอบๆ ปากปล่องภูเขาไฟจัดเป็นพื้นที่อันตราย
       
       ภูเขาไฟอิโอยามา ความสูง 1,310 เมตร ตั้งอยู่บนแนวเทือกเขาคิริชิมา และอยู่ห่างเพียงราวๆ 64 กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้าเซ็นไดที่มีบริษัท คิวชู อิเล็กทริก เพเวอร์ โค เป็นผู้บริหาร
       
       รัฐบาลโตเกียวพยายามโน้มน้าวประชาชนให้เล็งเห็นผลประโยชน์ของการเปิดใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อบรรเทาภาวะขาดแคลนพลังงาน แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงคัดค้าน เพราะกลัวจะเกิดหายนะร้ายแรงเหมือนที่โรงไฟฟ้าฟูกูชิมะไดอิจิ
       
       นักวิจารณ์ชี้ว่า โรงไฟฟ้าเซ็นไดอยู่ห่างเพียง 50 กิโลเมตรจากภูเขาไฟซากุระจิมาซึ่งปะทุบ่อยครั้ง และการระเบิดที่ผ่านๆมาก็ทำให้เกิด “แคลดีรา” หรือปากปล่องขนาดใหญ่ 5 แห่ง แห่งที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากโรงไฟฟ้าไปเพียง 40 กิโลเมตรเศษ
       
       โรงไฟฟ้าเซ็นไดจะต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย และได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานท้องถิ่นเสียก่อน การเปิดใช้งานจึงอาจต้องรอไปถึงปีหน้าเป็นอย่างเร็ว
       
       ขณะนี้ระดับคำเตือนภูเขาไฟซากุระจิมายังอยู่ที่ขั้น 3 ซึ่งหมายความว่าประชาชนไม่ควรขึ้นไปใกล้ปากปล่อง
       
       ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า แผ่นดินไหวใต้ทะเลขนาด 9.0 ซึ่งก่อให้เกิดคลื่นสึนามิเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ปี 2011 ทำให้ภูเขาไฟทั่วญี่ปุ่นเสี่ยงต่อการระเบิดเพิ่มขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ภูเขาไฟฟูจิอันสวยงามเลื่องชื่อ

ผู้จัดการ

กินยังไงให้อิ่มอุ่นท้องไปหลายชั่วโมง และไม่อ้วน ?

ผู้อ่านสังเกตไหมคะว่า อาหารบางประเภท รับประทานแล้วจะรู้สึกอิ่มอุ่นท้องไปหลายชั่วโมง ในขณะที่อาหารบางประเภท รับประทานแล้วอิ่มมาก แต่พอเวลาผ่านไปไม่นานเท่าไรนัก ก็รู้สึกหิวใหม่อีกครั้ง
ความแตกต่างนี้อธิบายได้จากทฤษฏีการให้คะแนนความอิ่มของอาหาร ซึ่งพัฒนาขึ้นมาโดยคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้ทำการวิจัยโดยนำอาหารที่คนรับประทานกันบ่อยๆเกือบ 40 ชนิด เช่น ข้าว ขนมปัง ข้าวโอ๊ต ชีส ไข่ ถั่ว ผลไม้ต่างๆ ไอศครีม ฯลฯ มาให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานทีละชนิด โดยให้รับประทานในปริมาณที่ให้พลังงาน 240 กิโลแคลอรี่เท่ากัน หลังจากนั้นจึงให้กลุ่มตัวอย่างนั่งรอเวลาไป 2 ชั่วโมง แล้วจึงเอาอาหารอร่อยๆมายั่วยวน เพื่อดูว่าจะรับประทานมากน้อยแค่ไหน ถ้ากลุ่มตัวอย่างรับประทานมาก แสดงว่าอาหารที่รับประทานไปในตอนแรก ไม่อยู่ท้อง ในทางตรงข้าม ถ้ารับประทานอาหารที่ 2 ชั่วโมงในปริมาณน้อย แสดงว่า อาหารที่รับประทานในตอนแรกอยู่ท้อง แล้วจึงนำผลที่วัดได้คำนวณออกมาเป็นคะแนนที่เรียกว่า Satiety Index
พบว่าอาหารที่ทำให้เราอิ่มได้นาน คืออาหารในกลุ่มโปรตีน เช่น ไข่ ถั่ว หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเนื้อปลาทำคะแนนได้สูงสุดในกลุ่มนี้ ตามมาด้วยอาหารในกลุ่มแป้งไม่ขัดขาว ซึ่งยังมีเส้นใยอาหารอยู่มาก เช่น พาสต้าโฮลวีท ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีท รวมถึงอาหารขบเคี้ยวอร่อยๆอย่างป๊อปคอร์น ส่วนอาหารที่ได้แชมป์ความอิ่มนานสุดด้วยคะแนนนำลิ่วคือ มันฝรั่งต้ม (สำหรับคนที่อยากลดน้ำหนัก อาจรับประทานมันฝรั่งต้มแทนข้าวได้ แต่ไม่ควรปรุงรสด้วยเนย ครีม ชีส)
ส่วนอาหารที่รับประทานไปได้ไม่เท่าไรก็หิวอีก ทำคะแนนความอิ่มได้ตกต่ำ คืออาหารในกลุ่มแป้งขัดขาวเช่น ครัวซองท์ เค้ก โดนัท ไอศครีม มูสลี ขนมปังขาว เฟรนช์ฟรายส์ คุ้กกี้ สำหรับคนที่อยากลดน้ำหนัก จึงควรเลี่ยงอาหารในกลุ่มนี้
การลดน้ำหนักคือการเลิกคิดว่าจะลดน้ำหนัก เลิกตะบี้ตะบันอดอาหาร แต่เป็นการเลือกรับประทานอาหารอย่างคนผอม เน้นรับประทานอาหารที่อยู่ท้อง แคลอรี่ต่ำ วิตามินและสารอาหารสูง รับประทานอย่างมีสติ ร่วมกับออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอให้ติดเป็นวิถีการใช้ชีวิต แล้วคุณจะผอมได้โดยไม่ต้องอดอาหาร