วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

UNHCR ระบุยอดชาวซีเรียลี้ภัยในต่างแดนพุ่งทะลุ 3 ล้าน “เป็นเด็ก” กว่าครึ่งของผู้อพยพ

      เอเอฟพี – องค์การชำนาญการด้านผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เปิดเผยวันนี้ (29 ส.ค.) ว่า ยอดชาวซีเรียที่อพยพหนีสงครามกลางเมืองไปขอลี้ภัยในต่างแดนพุ่งทะลุ 3 ล้านคนแล้ว โดยในปีที่แล้วเพียงปีเดียว ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านคน 
       ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ระบุในคำแถลงว่า “วิกฤตยอดผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่กำลังมากขึ้นเรื่อยๆ จะพุ่งทะลุยอด 3 ล้านคนในวันนี้” พร้อมทั้งกล่าวเสริมว่า ตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมถึงชาวซีเรียอีกหลายแสนคนที่หลบหนีออกนอกประเทศโดยไม่ได้จดทะเบียนขอลี้ภัยอย่างเป็นทางการ
       
       ยูเอ็นเอชซีอาร์ ระบุว่า ไม่ถึงหนึ่งปีก่อนตัวเลขชาวซีเรียที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ลี้ภัยยังอยู่ที่ 2 ล้านคน พร้อมกันนี้หน่วยงานได้อ้างถึงรายงานสภาวการณ์ในซีเรียที่น่าหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ” เพื่ออธิบายสาเหตุที่ผู้ลี้ภัยมีจำนวนเพิ่มขึ้น
       
       รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า “ประชากรที่อาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆ ซึ่งถูกปิดล้อมกำลังหิวโหย และพลเรือนกำลังตกเป็นเป้าโจมตี หรือถูกสังหารไม่เลือกหน้า”
       
       สงครามซีเรีย สมรภูมิที่นักรบแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมากขึ้นเรื่อยๆ ได้คร่าชีวิตประชากรไปกว่า 191,000 คน นับตั้งแต่กบฏลุกฮือขึ้นต่อต้านระบอบปกครองของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด เมือเดือนมีนาคม ปี 2011
       
       ยูเอ็นเอชซีอาร์ระบุว่า นอกจากผู้ลี้ภัยแล้วยังมีประชาชนอีก 6.5 ล้านคนต้องละทิ้งถิ่นหนีสถานการณ์ความรุนแรงไปอาศัยอยู่ในสถานที่อื่นๆ ในประเทศ ซึ่งก็หมายความว่า มีชาวซีเรียมากเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ถูกบีบให้ละทิ้งถิ่นฐานบ้านเรือน
       
       ยูเอ็นเอชซีอาร์ครวญว่า กว่าครึ่งของผู้พลัดถิ่นทั้งหมดเป็นเด็ก
       
       *** ภาระอันใหญ่หลวงของประเทศเพื่อนบ้าน ***
       ชาวซีเรียส่วนใหญ่ได้พากันอพยพไปอาศัยอยู่ตามประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ มีชาวซีเรียไปขอลี้ภัยในเลบานอนมากถึง 1.14 ล้านคน จอร์แดน 608,000 คน และตุรกี 815,000 คน
       
       ยูเอ็นเอชซีอาร์เน้นย้ำว่า ประเทศที่มีนโยบายเปิดรับผู้ลี้ภัยนั้นได้แบกรับภาระอัน “ใหญ่หลวง” ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากร พร้อมทั้งระบุเพิ่มเติมว่า ผู้ลี้ภัยเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์มีคุณภาพชีวิตที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
     อันโตนีโอ กูเตร์เรส ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยฯ ระบุในคำแถลงว่า “วิกฤตซีเรียได้กลายเป็นสภาวะฉุกเฉินด้านมนุษยธรรมที่ร้ายแรงที่สุดในยุคเรา กระนั้นความช่วยเหลือจากทั่วโลกก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ลี้ภัย และประเทศที่รับดูแลพวกเขา”
       
       เขากล่าวเสริมว่า “มีผู้ส่งความช่วยเหลือให้แก่ผู้ประสบภัยสงครามซีเรียมากมาย แต่ความเป็นจริงที่ขื่นขมก็คือ พวกเขายังขาดแคลนอีกมาก”
       
       บรรดาผู้บริจาคจากทั่วโลกได้ระดมส่งเงินช่วยเหลือกว่า 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ชาวซีเรียที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตความขัดแย้ง แต่ยูเอ็นเอชซีอาร์ระบุว่า ยังต้องการเงินอีก 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในเวลาสิ้นปีนี้ เพื่อใช้ในการจัดหาข้าวของเครื่องใช้ในยามจำเป็นเร่งด่วนให้แก่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้
       
       เดวิด มิลลิแบนด์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ซึ่งในเวลานี้ดำรงตำแหน่งประธานองค์การคุ้มครองผู้ลี้ภัย “อินเตอร์เนชันแนล เรสเคียว คอมมิตตี” (ไอร์อาร์ซี) แสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อตัวเลขผู้ลี้ภัยที่สูงลิ่วเช่นนี้ทันทีทันควัน
       
       เขาระบุในคำแถลงว่า “การที่มีผู้ลี้ภัยจากสงครามซีเรียมากถึง 3 ล้านคนเปรียบได้กับการยื่นคำร้องเรียน 3 ล้านฉบับ เพื่อประจานความโหดร้ายของรัฐบาล ความรุนแรงของกบฏ และความล้มเหลวของนานาชาติ”
ผู้จัดการ

ยอดชาวยูเครนยื่นขอลี้ภัยในรัสเซียพุ่งทะลุ 130,000 ราย อีกหลายหมื่นยื่นขอเป็น “พลเมืองรัสเซีย”

      เอเจนซีส์ – ทางการรัสเซียเผย ตัวเลขพลเมืองชาวยูเครนที่ยื่นขอรับสถานะ “ผู้ลี้ภัยชั่วคราว” ในแดนหมีขาวได้เพิ่มจำนวนเป็นมากกว่า 130,000 รายแล้ว นับตั้งแต่เกิดความขัดแย้งและการสู้รบในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้ของยูเครน
       
       รายงานข่าวในวันเสาร์ (30) ซึ่งอ้างสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและผู้อพยพกลางของรัสเซีย ระบุว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา มีประชากรชาวยูเครนกว่า 820,000 คนที่เดินทางหนีภัยการสู้รบในประเทศของตัวเอง เข้ามาในเขตแดนของรัสเซีย และในจำนวนนี้มีมากกว่า 130,000 คนที่ยื่นเรื่องขอรับสถานะผู้ลี้ภัยชั่วคราวในรัสเซีย
       
       ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและผู้อพยพกลางของรัสเซีย ยังระบุด้วยว่ามีชาวยูเครนจำนวนมากกว่า 33,000 คนยื่นเรื่องขอสิทธิในการเป็น “พลเมืองรัสเซีย” โดยสมบูรณ์
       
       ทั้งนี้ ปัญหาการสู้รบระหว่างกลุ่มติดอาวุธนิยมรัสเซียกับทหารรัฐบาลยูเครนในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้ของประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลมอสโกและเคียฟ ได้ก้าวเข้าสู่ภาวะเลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี และยังทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างโลกตะวันตกกับรัสเซีย ในระดับที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น
       
       ในอีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีเปโตร โปโรเชนโก ผู้นำยูเครน ออกโรงในวันเสาร์ (30) โดยระบุ ขณะนี้บรรดาผู้นำในสหภาพยุโรป (อียู) ได้ให้ความเห็นชอบต่อมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อรัสเซียแล้ว ซึ่งสอดรับกับข้อเสนอของผู้นำยูเครนเองที่ต้องการให้โลกตะวันตกยกระดับการคว่ำบาตรและเพิ่มแรงกดดันต่อมอสโก เพื่อให้ยุติการแทรกแซงต่อวิกฤตในยูเครน
ผู้จัดการ

EU เลือก “เฟเดริกา โมเกรินี” รัฐมนตรีต่างประเทศหญิงอิตาลี รับตำแหน่ง “ประธานนโยบายต่างประเทศ”

      รอยเตอร์/เอเจนซีส์ – เฟเดริกา โมเกรินี รัฐมนตรีต่างประเทศหญิงจากอิตาลี ได้รับการแต่งตั้งจากสหภาพยุโรป (อียู) ให้เข้ารับตำแหน่งประธานด้านนโยบายต่างประเทศคนใหม่ โดยเจ้าตัวประกาศในวันเสาร์ (30) พร้อมเดินหน้าผลักดันแนวทางทางการทูตเพื่อหาทางออกให้กับวิกฤตในยูเครน
       
       โมเกรินี ซึ่งมีกำหนดเตรียมเข้ารับตำแหน่งประธานนโยบายต่างประเทศของอียูคนใหม่ ต่อจากนางแคเธอรีน แอชตัน ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ยืนยันระหว่างการแถลงข่าวที่กรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียมหลังมีการประกาศการแต่งตั้งให้เธอรับหน้าที่ใหม่ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงของอิตาลียืนกรานว่า แม้ในเวลานี้จะมีความพยายามของหลายฝ่ายในการเดินหน้า “คว่ำบาตรรัสเซีย” แต่เธอยังคงเชื่อมั่นว่าช่องทางทางการทูตยังคงต้องถูกเปิดกว้างสำหรับการแก้ปัญหาวิกฤตในยูเครน
       
       “การผสมผสานอย่างชาญฉลาดระหว่างแรงกดดันและช่องทางการทูต ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่ทางออกสำหรับวิกฤตในยูเครนในอนาคต” โมเกรินีกล่าว
       
       ทั้งนี้ เฟเดริกา โมเกรินี ในวัย 41 ปี ได้รับการแต่งตั้งโดยมัตเตโอ เรนซี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ให้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศของแดนมะกะโรนีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเธอถือเป็นสตรีคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่เข้ารับตำแหน่งดังกล่าวในรัฐบาลอิตาลีต่อจากนางเอ็มมา โบนิโน และซูซานนา อักเนลลี
       
       อย่างไรก็ดี บรรดานักวิเคราะห์การเมืองในยุโรปต่างลงความเห็นว่า การเลือกนางโมเกรินีเข้ารับตำแหน่งประธานนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรปถือเป็นความท้าทายสำคัญ เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีว่าเธอคือหนึ่งในนักการเมืองระดับแถวหน้าของยุโรปที่มีจุดยืนโอนอ่อนต่อรัสเซีย และยังมี “ความเป็นมิตร” กับรัฐบาลมอสโก ภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน

ผู้จัดการ

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ไข่ตุ๋นต้มยำ Spicy Steamed Egg

เมนูไข่ตุ่นต้มยำเป็นเมนูที่ดัดแปลงเพื่อเอาใจคนที่ชอบทานไข่ตุ๋นรสจัด ที่ยังคงมีเนื้อนุ่มๆ ของไข่ตุ๋นสไตล์ญี่ปุ่นอยู่ รสชาติอร่อยลงตัวหอมกลิ่นเครื่องต้มยำจากเครื่องสมุนไพร ใครที่ชอบไข่ตุ่นและเครื่องต้มยำไม่ควรพลาดเมนูนี้

http://www.foodtravel.tv/recfoodShow_Detail.aspx?viewId=2950

ประโยชน์ทางยาของเห็ด 8 ชนิด

1.เห็ด หอม หรือ เห็ดชิตาเกะ เป็นยาอายุวัฒนะ เพราะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด อีกทั้งยังเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและมะเร็งด้วย และมีกรดอะมิโนถึง 21 ชนิด มีวิตามิน บี 1 บี 2สูงพอๆ กับยีสต์ มีวิตามินดีสูง ช่วยบำรุงกระดูกและมีปริมาณโซเดียมต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยบำรุงกำลัง บรรเทาอาการไข้หวัดชาวจีนยกให้้เห็ดหอมเป็็นอาหารต้้นตำรับ “อมตะ”
2.เห็ดหูหนู เป็นกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาวในผู้สูงอายุ ทำให้ภูมิต้านทานร่าง กายดี ขึ้น รว มทั้งช่วยรักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง เห็ดหูหนูขาวช่วยบำรุงปอดและไต
3.เห็ดหลินจือ มีสารสำคัญ เช่น เบต้ากลูแคนซึ่งมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง คนญี่ปุ่นมักใช้ควบคู่กับการรักษาโรคมะเร็งและโรคผู้สูงอายุเช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคความดันโลหิตสูง
4.เห็ดกระดุม หรือ เห็ดแชมปิญองรูปร่างกลมมน คล้ายกระดุมที่มีขนาดใหญ่ ผิวเนื้อนวล มี ให้เลือกทั้งแบบสด หรือบรรจุกระป๋อง มีบทบาทในการรักษาและป้อง กันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่ สุดโดยสารบางอย่างในเห็ด นี้จะไปช่วยยับยั้งเอนไซม์อะโรมาเตส ทำให้เกิดการยับยั้งการเปลี่ยนฮอร์โมนเอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนใน ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เมื่อร่างกาย ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย
5.เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้าและเห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดสามอย่างนี้อยู่ในตระกูลเดียวกัน เจ ริญเติบโตเป็นช่อ ๆคล้ายพัด เห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้ามีสีขาวอมน้ำตาล ขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำ และเนื้อเหนียวหนานุ่ม อร่อยคล้ายเนื้อสัตว์มากกว่า เชื่อว่าสามารถป้องกันโรคหวัดช่วยการไหลเวียนของเลือด และโรคกระเพาะ
6.เห็ดฟาง เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าว ชื้น ๆ โคน มี สีขาว ส่วนหมวกมีสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด ให้ วิตามินซีสูง และ มีกรดอะ มิโนสำคัญอยู่หลายชนิดหากรับประทาน เป็นประจำจะช่วยเสริม ภูมิคุ้มกันการ ติดเชื้อต่างๆ อีก ทั้งยังช่วยลดความดันโลหิตและเร่งการสมานแผล
7.เห็ดเข็มทอง เป็นเห็ดสีขาวหัวเล็ก ๆ ขึ้นติดกัน เป็นแพ รส ชาติเหนียวนุ่ม นำมารับประทานแบบสดๆ ใ ส่ กับสลัด ผักก็ ได้ ถ้าชอบสุกก็ นำ ไปย่าง ผัดหรือลวกแบบ สุกี้ ถ้ากินเป็นประจำ จะช่วยรักษาโรคตับโรคกระเพาะ และลำไส้อักเสบเรื้อรัง
8.เห็ดโคน ช่วยเจริญอาหาร บำรุงกำลัง แก้บิดแก้คลื่นไส้อาเจียน แก้ไอ ละลายเสมหะ การทดลองทางเภสัชศาสตร์พบว่า น้ำที่สกัดจากเห็ดโคนสามารถยับยั้งเชื้อโรคบางชนิด เช่นเชื้อไทฟอยด์
เห็ดที่นักวิทยาศาสตร์นิยมเอามาวิเคราะห์ว่ามีสรรพคุณทางยานั้นส่วนใหญ่ เป็นเห็ด ชนิดที่คนมักนำมาปรุงอาหารและหาได้ง่าย เช่น เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้าเห็ดฟาง เห็ดโคน เห็ดหูหนู และ เห็ดหลินจือ อีกทั้งผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าเห็ดแชมปิญอง มีบทบาทช่วยในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด เมื่อเทียบกับเห็ดรับประทานได้ชนิดอื่นๆโดยสารบางอย่างในเห็ดชนิดนี้ไปช่วย ยับยั้งเอ็นไซม์ aromatase ทำให้เกิดการยับยั้งการแปรฮอร์โมนแอนโดรเจนให้กลายเป็นเอสโตรเจนในผู้หญิง วัยหมด ประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย และในประเทศญี่ปุ่นได้มีการทดลองนำเห็ดหอมมาสกัด พบว่าในเห็ดหอม ให้น้ำตาลโมเลกุลขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า เบต้ากลูแคน ถึง 2 ชนิดได้แก่ lentinan และ LEM (Lenti nula edodes mycelium) ซึ่งช่วยทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับการติดเชื้อ และชะลอการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งในการทดลองให้สาร lentinan กับผู้ป่วยมะเร็งร่วมกับการทำเคมีบำบัดก็พบว่าก้อนมะเร็งมีขนาดลดลง และอาการข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดก็เกิดขึ้นน้อยลงด้วย เห็นความอัศจรรย์ของพืชตระกูลต่ำหรือยัง ไม่ได้ด้อยประโยชน์เหมือนทีโดนกล่าวหาเลย
hed-28-08-14

“ภูเขาไฟตาวูร์วูร์” ในปาปัวนิวกินีปะทุรุนแรง ต้องอพยพชาวบ้าน-แควนตัสปรับเส้นทางบินเลี่ยงเถ้าถ่าน

       เอเจนซีส์ – ภูเขาไฟทางภาคตะวันออกของปาปัวนิวกินีเกิดปะทุอย่างรุนแรงเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (29 ส.ค.) ส่งผลให้ทางการต้องสั่งอพยพชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียง ขณะที่สายการบินแควนตัสของออสเตรเลียได้เปลี่ยนเส้นทางบินเพื่อหลีกเลี่ยงเถ้าถ่านแล้ว
       
       ภูเขาไฟตาวูร์วูร์ (Tavurvur) ซึ่งตั้งอยู่ปลายสุดด้านเหนือของเกาะนิวบริเทน เคยพ่นเถ้าถ่านทำลายหมู่บ้านราบาอูลจนราบคาบในปี 1994 เมื่อมันเกิดปะทุขึ้นพร้อมๆ กับภูเขาไฟวัลแคน (Vulcan) และล่าสุดมันได้คำรามกึกก้องขึ้นอีกครั้งเมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ (29)
       
       “การปะทุครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างช้าๆ อย่างที่เรียกว่า สตรอมโบเลียน (Strombolian) โดยมีเปลวไฟสว่างโชติช่วง ตามมาด้วยเสียงระเบิดและเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง” ศูนย์เฝ้าระวังภูเขาไฟในเมืองราบาอูลแถลง
       
       รัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศเตือนนักท่องเที่ยวให้หลีกเลี่ยงเดินทางไปใกล้ๆ กับภูเขาไฟลูกนี้แล้ว
       
       “ทางการได้สั่งอพยพชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ภูเขาไฟ ส่วนประชาชนในเมืองราบาอูลได้รับคำแนะนำให้อยู่แต่ในที่พักอาศัยเพื่อหลีกเลี่ยงเถ้าถ่าน”
       
       ล่าสุดยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ หรือความเสียหายใดๆ จากการปะทุครั้งนี้
       
       ศูนย์บริการคำแนะนำเกี่ยวกับเถ้าถ่านภูเขาไฟในเมืองดาร์วิน เตือนว่า เวลานี้เถ้าถ่านภูเขาไฟตาวูร์วูร์กำลังถูกกระแสลมพัดไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
       
       “เถ้าถ่านลอยสูงขึ้นไปราว 60,000 ฟุต ซึ่งเป็นระดับความสูงของเครื่องบินโดยสาร และเกิดการปะทุรุนแรงอยู่ราวๆ 2 ชั่วโมง” ซินดี ฟีลส์ เจ้าหน้าที่จากศูนย์บริการคำแนะนำ ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี
      “ในช่วงแรกๆ เถ้าถ่านได้ลอยไปทางตะวันตกเฉียงใต้ แต่ลมเริ่มพัดหวนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเราคาดว่ามันจะเข้าไปถึงขอบน่านฟ้าออสเตรเลียภายในวันนี้ แต่คงจะไม่ส่งผลกระทบถึงแผ่นดินออสเตรเลีย”
       
       ด้านสายการบินแควนตัสได้ประกาศเปลี่ยนแปลงเส้นทางของเที่ยวบิน 3 เที่ยว เพื่อหลีกเลี่ยงเถ้าถ่านภูเขาไฟในภาคตะวันออกของปาปัวนิวกินีแล้ว
       
       “เที่ยวบินจากซิดนีย์-โตเกียว (นาริตะ) และซิดนีย์-เซี่ยงไฮ้ ถูกปรับเปลี่ยนเส้นทางเพื่อเลี่ยงเถ้าถ่านภูเขาไฟเหนือเมืองราบาอูลในภาคตะวันออกของปาปัวนิวกินี” โฆษกหญิงของแควนตัส แถลง
       
       “เที่ยวบิน QF21, QF22 และ QF130 จะบินผ่านตอนกลางของปาปัวนิวกินีแทน” ซึ่งจะทำให้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นจากเดิมราวๆ 10 นาที
       
       ภูเขาไฟตาวูร์วูร์ ความสูง 688 เมตรลูกนี้เคยระเบิดมาแล้วหลายครั้ง ครั้งรุนแรงที่สุดคือเมื่อปี 1994 ซึ่งมันได้ปะทุขึ้นพร้อมๆ กับภูเขาไฟวัลแคนที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้ชุมชนในเมืองราบาอูลเสียหายอย่างหนัก อาคารบ้านเรือนถูกเถ้าถ่านปกคลุมเป็นชั้นหนาจนพังถล่ม และแม้จะมีผู้เสียชีวิตไม่มากเนื่องจากการอพยพชาวบ้านเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่เมืองที่ไร้ผู้คนก็ถูกพวกโจรเข้าปล้นชิงทรัพย์สินในเวลาต่อมา

ผู้จัดการ

กบฏซีเรียเหิมเกริม บุกจับสมาชิกกองกำลังสันติภาพ UN 43 ชีวิต บนที่ราบสูงโกลันเป็นตัวประกัน

      เอเอฟพี – องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยว่า กลุ่มติดอาวุธในซีเรียซึ่งบางส่วนมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มหัวรุนแรงอัลกออิดะห์ ได้จับตัวสมาชิกกองกำลังรักษาสันติภาพของยูเอ็น 43 คน ไปจากที่ราบสูงโกลันในฝั่งซีเรีย ทั้งยังวางกำลังปิดล้อมเจ้าหน้าที่อีก 81 คนวานนี้ (28 ส.ค.)
       
       กระทรวงกลาโหมฟิลิปปินส์แถลงว่า กองกำลังรักษาสันติภาพ 43 คนจากฟิจิถูกบีบให้วางอาวุธ ก่อนจะถูกจับเป็นตัวประกันในบริเวณใกล้จุดผ่านแดนกูเนตรา แต่สมาชิกอีก 81 คนจากแดนตากาล็อกยังคงตรึงกำลังในพื้นที่ และปฏิเสธที่จะวางอาวุธ
       คำแถลงจากกรุงมะนิลาระบุว่า การปิดล้อมได้นำไปสู่การประจันหน้ากันระหว่างกลุ่มกบฏกับกองกำลังสันติภาพ ขณะที่เจ้าหน้าที่ยูเอ็นพยายามหาทางแก้ไขสถานการณ์อย่างสันติ
       
       พลจัตวา โมเซเซ ติโกยโตกา ผู้บัญชาการกองทัพฟิจิระบุว่า สมาชิกกองกำลังรักษาสันติภาพที่ถูกจับตัวไปปลอดภัยดี พร้อมทั้งขอให้ประชาชนชาวฟิจิร่วมกันสวดภาวนาขอให้พวกเขาได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัย
       
       เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวจากกรุงซูวา เมืองหลวงของฟิจิว่า “แม้ว่าพวกเขาจะถูกกบฏติดอาวุธจับตัวไว้ในแถบที่ราบสูงโกลัน แต่พวกเขาก็ยังปลอดภัยดี”
       
       เมื่อวันพุธ (27) กบฏซีเรีย ซึ่งรวมถึงนักรบกลุ่ม “แนวหน้าอัล-นุสรา” ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มหัวรุนแรงอัลกออิดะห์ ได้เปิดฉากโจมตีจุดผ่านแดนกูเนตรา จนจุดชนวนให้เกิดการยิงโต้ตอบกับทหารอิสราเอล
       
       ทั้งนี้ กูเนตรา เป็นจุดผ่านแดนเพียงแห่งเดียวบนที่ราบสูงโกลันที่เชื่อมต่อซีเรียเข้ากับอิสราเอล
       
       ทางด้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ออกมา “ประณามกลุ่มก่อการร้ายและสมาชิกกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่กองกำลังของรัฐอย่างรุนแรง” ต่อการจับตัวสมาชิกกองกำลังรักษาสันติภาพ 43 คน และ “การปิดล้อมที่มั่น” ของเจ้าหน้าที่อีก 81 คน
       
       คณะมนตรีความมั่นคงเรียกร้องให้ “ปล่อยตัวกองกำลังรักษาสันติภาพขององค์การสหประชาชาติที่ถูกเป็นตัวประกันทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข” และวิงวอนให้ประเทศที่มีอิทธิพลช่วยเจรจาต่อรองกับกบฏเพื่อปล่อยตัวเจ้าหน้าที่เหล่านี้
       
       เจ้าหน้าที่ยูเอ็นระบุว่า สมาชิกกองกำลังชาวฟิลิปปินส์ 81 คนกำลังประจันหน้ากับกบฏซีเรีย ในบริเวณใกล้ อาร์รูวายฮินาห์ และบูรายกาห์ ขณะที่ทหารฟิจิถูกนำตัวไปยังตอนใต้ของที่ราบสูงโกลัน ซ่ึ่งเป็นพื้นที่กันชนระหว่างซีเรียกับอิสราเอล
       
       สเตฟาเน ดูยาร์ริก โฆษกของยูเอ็นกล่าวว่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า การก่อเหตุโจมตีครั้งนี้เป็นฝือกบฏฝ่ายใด
       
       เขากล่าวว่า “กบฏบางกลุ่มอ้างว่าอยู่ในสังกัดกลุ่ม อัล-นุสรา แต่เรายังไม่สามารถยืนยันได้”
       
       อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ชี้ว่าเป็นฝีมือของอัล-นุสรา
       
       เจน ซากี โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในคำแถลงว่า “สหรัฐฯ ขอประณามอย่างรุนแรง ต่อกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่กองกำลังของรัฐ รวมทั้ง แนวหน้าอัล-นุสรา ซึ่งคณะมนตรีความมั่นคงขึ้นบัญชีดำว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ที่ได้จับตัวกองกำลังรักษาสันติภาพของยูเอ็น และโจมตีกองกำลังสังเกตการณ์การสงบศึก (UNDOF) บนที่ราบสูงโกลัน”
       
       วอชิงตันได้เรียกร้อง “ให้ปล่อยตัว (กองกำลังรักษาสันติภาพ) ทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข”

ผู้จัดการ

ตื่นตา! ทะเลเรืองแสงซัดเข้าชายฝั่งออสเตรเลีย (ชมคลิป)

       เทเลกราฟ – โลกออนไลน์ฮือฮา หลังมีผู้เผยแพร่คลิปวิดีโอคลื่นทะเลสีฟ้าเรืองแสงปริศนาซัดเข้าหาชายหาดแมนลี ในซิดนีย์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุมันคือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากแพลงก์ตอนพืชและสัตว์ขนาดเล็ก
       
       ในวิดีโอที่ถูกโพสต์ลงบนสื่อสังคมออนไลน์พบเห็นคลื่นทะเลสีฟ้าเรืองแรง ซัดเข้าหาชายฝั่งซิดนีย์ ออสเตรเลียเมื่อวันอาทิตย์ (24) ที่ผ่านมา โดยนายโจเอล โคแมน นักถ่ายภาพธรรมชาติเป็นผู้บันทึกภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ได้ขณะที่ยืนอยู่บนชายหาดแมนลี ก่อนเที่ยงคืนไม่นาน
       อย่างไรก็ตาม นักชีววิทยาทางทะเลท้องถิ่นรายหนึ่งให้ความเห็นว่าคลื่นเรืองแสงนี้เกิดจากแพลงก์ตอนพืชและสัตว์ขนาดเล็ก ที่เรียกกันว่าไดโนแฟลกเจลเลต
       
       ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ไบโอลูมิเนสเซนท์ เบย์ เกิดจากไดโนแฟลกเจลเลตสะสมพลังงานจากแสงอาทิตย์เอาไว้ในตอนกลางวัน และจะปล่อยแสงสีน้ำเงินออกมาในตอนกลางคืน และเมื่อมีการสั่นสะเทือนของน้ำก็จะเกิดแสงสีฟ้าขึ้นอย่างสวยงาม

ผู้จัดการ

WHO เตือนยอดผู้ติดเชื้ออีโบลาอาจพุ่งสู่ 20,000 รายภายใน 9 เดือน

     วอลล์สตรีทเจอนัลด์ – องค์การอนามัยโลกเตือนในวันพฤหัสบดี (28 ส.ค.) จำนวนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอีโบลา อาจเพิ่มขึ้นถึง 20,000 คนภายในเวลา 9 เดือนข้างหน้าและคาดหมายว่าจำเป็นต้องใช้เงินกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในความพยายามหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะชนิดนี้
       
       ในเอกสารที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (28) องค์การสาธารณสุขของสหประชาชาติบอกว่าอีโบลายังคงแพร่ระบาดรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ด้วยมากกว่าร้อยละ 40 ของรายงานผู้ติดเชื้อ เกิดขึ้นแค่ภายในช่วง 3 สัปดาห์หลังสุด
       
       จนถึงวันที่ 28 สิงหาคม เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจาก 4 ประเทศที่ได้รับผลกระทบคือกินี ไลบีเรีย ไนจีเรีย และเซียร์ราลีโอน พบผู้ติดเชื้ออีโบลาทั้งสิ้น 3,069 คน นับตั้งแต่การแพร่ระบาดเริ่มขึ้นในช่วงต้นปี โดยในนั้นมีถึง 1,552 รายที่เสียชีวิต ขณะที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีวัคซีนรักษา
       
       องค์การอนามัยโลกระบุในรายงานซึ่งกำหนดโรดแมปตอบสนองต่ออีโบลาว่า การเสริมความเข้มแข็งแก่ห้องปฏิบัติการวิจัยและเพิ่มเติมความรู้ความชำนาญแก่เจ้าหน้าที่คือสิ่งจำเป็นสำหรับควบคุมการแพร่ระบาด ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางสาธารณสุขเพื่อรับมือกับภัยคุกคามในอนาคต
       
       ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่การระบาดของอีโบลาในแอฟริกาตะวันตกอาจพุ่งสูงกว่า 20,000 คน หรือมากกว่า 6 เท่าในปัจจุบัน โดยตั้งข้อสันนิษฐานว่าในหลายพื้นที่ที่มีการติดต่ออย่างรุนแรง ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แท้จริงอาจสูงกว่าที่ได้รับรายงาน นอกจากนี้แล้วในโรดแมปยังเรียกร้องให้เพิ่มศูนย์กักกันอีโบลาและฝังศพเหยื่อภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขด้วย
       
       อนามัยโลกระบุว่า การส่งเหล่าผู้เชี่ยวชาญเข้าไปยังภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสอีโบลาคือเป้าหมายเร่งด่วน แต่เวลานี้ความพยายามดังกล่าวเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากสายการบินนานาชาติหลายแห่งซึ่งในนั้นรวมถึงแอร์ฟรานซ์, บริติช แอร์เวย์ส และเอมิเรตส์ แอร์ไลน์ ระงับเที่ยวบินสู่บางชาติที่มีการระบาดของอีโบลา

ผู้จัดการ

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หิมะกลางฤดูร้อน

หิมะบน Zugspitze ยอดเขาที่สูงสุดในประเทศเยอรมัน  และอุณหภูมิสูงสุด ๒๐ องศาในที่ราบ  เดือนสิงหาคมปี ๒๐๑๔ ไม่ใช่เดือนในฤดูร้อนตามฝัน
zsp-28-08-14
Adrian Leyser จากสำนักงานอุตุนิยมเยอรมันกล่าวเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคมที่ผ่านมาว่าอุณหภูมิสูงกว่า ๒๕ องศาท้ายสุดเกิดขึ้นในวันที่ ๑๓ สิงหาคมที่ Manschnow แคว้นบรันเดนบวร์ก  บน Zugspitze ที่มีความสูง ๒,๙๖๒ เมตรในวันที่ ๒๔ สิงหาคมที่ผ่านมามีหิมะปกคลุม  โดยวัดได้ ๔ เซนติเมตร  หิมะบนยอดเขา Zugspitze สำหรับเดือนสิงหาคมเป็นเรื่องไม่ปกติ  กระนั้น คาดว่าในเดือนสิงหาคมปีนี้จะอุ่นกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวจากปี ๑๙๖๑-๑๙๙๐ ราว ๐.๑ องศา

ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย

เป็นเวลา ๑๐ ปีมาแล้วที่การลงโฆษณาของเขาสร้างความฮือฮา “คู่สมรสอายุน้อยอาศัยอยู่ฟรี ๑ ปี!”  แต่ทุกวันนี้ไม่จำเป็นแล้ว  Andrej Eckhardt ประธานสหกรณ์ด้านที่อยู่อาศัย Gruene Mitte ที่ย่าน Hellersdorf ของกรุงเบอร์ลินย้ำว่าไม่มีข้อเสนอจูงใจพิเศษอีกแล้ว  ผู้เช่ามาเองโดยไม่ต้องมีการโฆษณา  ซึ่งไม่ได้เป็นเฉพาะที่เบอร์ลินเท่านั้น  ไม่ว่าเมืองใหญ่อื่นๆ  ได้แก่ โคโลญน์ ฮัมบวร์ก มืนเช่น ไลปซิก ฯลฯ
ในย่านตึกสูงรอบเมืองใหญ่ ๆ ของประเทศเยอรมันมีห้องชุดว่างน้อยลงทุกที  ปฏิบัติการแจกผ้าอ้อมสำหรับครอบครัว จักรยานสำหรับการย้ายเข้าหรือสุดสัปดาห์  สำหรับผู้เช่าทุกคนส่วนใหญ่กลายเป็นเรื่องที่บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์  ในขณะเดียวกันตามเมืองต่าง ๆ ในภาคตะวันออกที่พลเมืองลดจำนวนหดตัวลงเช่นเดียวกับบางพื้นที่ในภาคตะวันตกกลับมีการรื้อที่พักอาศัยหลายหมื่นแห่ง  ในเมืองอื่น ๆ วางแผนการสร้างตึกใหม่ท่ามกลางตึกที่อยู่อาศัยจากทศวรรษที่ ๖๐
สมาคมบริษัทที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เยอรมันระบุว่าย่านที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่เผชิญกับการเกิดใหม่  ผู้ให้เช่ากล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของย่านที่อยู่อาศัยจำนวนมากที่เคยได้รับการขนานนามว่าเป็นจุดร้อนแรงในสังคมมาเป็นเวลานาน
ทั้งนี้  เนื่องจากลำพังในเมืองใหญ่ที่สุด ๗ เมืองจำนวนพลเมืองเพิ่มขึ้นตามข้อมูลของกระทรวงเพื่อก่อสร้าง นับจากปี ๒๐๐๗ ราว ๓๓๐,๐๐๐ คน  การสร้างห้องชุดที่อาศัยเพิ่มขึ้นไม่ทันกับความต้องการ  ในย่านที่เป็นที่นิยมบางแห่งการเข้าแถวจ่อคิวของผู้สนใจเช่ายาวออกไปถึงถนนและผู้ที่ไม่สามารถจ่ายค่าเช่าในย่านที่นิยมอาศัยได้  ก็จะเลี่ยงไปที่อื่น Ulrich Ropertz
ผู้จัดการสมาคมผู้เช่าเยอรมันวิจารณ์ว่าสำหรับผู้เช่าจำนวนมากแทบควักกระเป๋าจ่ายค่าเช่าไม่ไหวสำหรับการอยู่อาศัยกลางเมือง  เมืองใหญ่และเมืองมหาวิทยาลัยดึงดูดประชาชนเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้นทุกที  โดยที่ไม่มีที่อยู่อาศัยใหม่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่าน ๆ มา  แนวโน้มสร้างความวิตกให้กับภาคธุรกิจนี้  Bernd Hunger ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างเมืองเตือนว่าสามารถทำลายย่านที่อยู่อาศัยได้อย่างรวดเร็ว  คอมมูนไม่ควรทำความผิดพลาดดังเช่นกรณีในช่วงทศวรรษที่ ๗๐ และ ๘๐ ซ้ำ  โดยการแบ่งแยกอย่างเด่นชัด  ทำย่านที่อยู่อาศัยใหญ่ ๆ ให้เป็นแหล่งที่รวมของครอบครัวของผู้มีรายได้น้อย  เขาเรียกร้องว่าต้องมีการผสมผสานทางสังคมที่ยอมรับได้  ผู้ให้เช่าต้องได้รับอนุญาตให้เลือกผู้เช่าได้เอง  สำหรับสหกรณ์ Gruene Mitte ที่ Hellersdorf เป็นเรื่องปกติ
Eckhardt กล่าวว่าไม่ได้ประสงค์จะให้เช่าในทุกกรณี  ต้องเลือกดูว่าผู้ใดสามารถจ่ายค่าเช่าได้  แต่ค่าเช่าเฉลี่ย ๕ ยูโรต่อพื้นที่อยู่อาศัย ๑ ตารางเมตร ผู้มีรายได้น้อยก็จ่ายได้  จึงแทบไม่มีการไม่จ่ายค่าเช่า

ผู้ว่าการกรุงเบอร์ลินลาออก

หลังกว่า ๑๓ ปีอยู่ในตำแหน่งผู้ว่าการกรุงเบอร์ลิน Klaus Wowereit วัย ๖๐ ปีประกาศการลาออกอย่างไม่มีผู้ใดคาดฝัน  หัวหน้ารัฐบาลระดับแคว้นที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดกล่าวเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคมที่ผ่านมาที่เบอร์ลินว่าในวันที่ ๑๑ ธันวาคมเขาจะยกตำแหน่งให้ผู้อื่น  โดยกล่าวว่าเขาไปโดยสมัครใจ
ภาพจาก  Superbass  
กระนั้น การถกเถียงภายในพรรคเกี่ยวกับตัวเขาสร้างความเสียหายให้กับงานของรัฐบาล  ฝ่ายค้านเรียกร้องการเลือกตั้งใหม่  Wowereit กล่าวว่าการตัดสินใจ ๒ ปีก่อนหน้าการหมดวาระการดำรงตำแหน่งไม่ง่ายสำหรับเขา  เขาภูมิใจที่มีส่วนในพัฒนาการทางบวกของเมืองหลวง  เขาเป็นผู้นำรัฐบาลผสมแดง-ดำมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๐๑๑  โดยได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าการเมืองหลวงครั้งแรกในปี ๒๐๐๑  ในวาระการปกครอง ๒ สมัยเขาเป็นผู้นำรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคซ้าย  ท้ายสุดความนิยมชมชอบ Wowereit ในหมู่พลเมืองลดลงอย่างรวดเร็ว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความล้มเหลวของการก่อสร้างสนามบินใหญ่เบอร์ลิน-บรันเดนบวร์กกระทบชื่อเสียงของหัวหน้ารัฐบาล  Raed Saleh หัวหน้าภาคส่วน ส.ส. พรรค SPD ที่เบอร์ลินประกาศว่าประสงค์จะเป็นทายาทของ Wowereit ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล

เยอรมันไม่ส่งกองกำลังไปอิรัก

นายก ฯ Angela Merkel ตัดขาดการส่งกองกำลังต่อสู้เยอรมันไปยังภาคเหนือของอิรัก  เธอกล่าวในการให้สัมภาษณ์ช่วงฤดูร้อนต่อสถานีโทรทัศน์ ARD เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคมที่ผ่านมาว่าไม่มีแผนการที่แน่นอนที่จะส่งผู้ฝึกสอนไปยังพื้นที่วิกฤติด้วย  อาวุธสำหรับพรรคผู้ใช้แรงงานชาวเคิร์ด (PKK) ที่ในประเทศเยอรมันได้รับการจัดให้เป็นผู้ก่อการร้ายก็จะไม่มีด้วย  PKK ไม่อยู่ในฐานะ “ผู้รับการส่งมอบอาวุธ”  ในการประชุมผู้นำพรรค SPD ที่เบอร์ลินมีการเห็นด้วยกับการส่งมอบอาวุธไปยังภูมิภาควิกฤติ  หลังการฆาตกรรม James Foley นักข่าวชาวอเมริกันอย่างทารุณจากนักสู้อิสลาม IS วอชิงตันวางแผนจะขยายการโจมตีทางอากาศต่อนักสู้อิสลามไปยังประเทศซีเรีย

ประโยชน์ข้าวโพดอ่อน

ข้าวโพดเป็นพืชพวกหญ้า มีลำต้นแข็งแรง และตั้งตรงคล้ายต้นอ้อย ความสูงของลำต้นแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ อาจมีความสูงตั้งแต่ 30 เซนติเมตร ไปจนถึง 6 เมตร ลำต้นเป็นปล้องๆ อาจมีตั้งแต่ 8-20 ปล้อง ใบยาวเรียวเกาะติดกับต้น ฝักข้าวโพดจะเกิดตรง ข้ออยู่ตรงส่วนกลางของลำต้น โดยมีเปลือกเป็นกลีบบางๆ สีเขียว มีหลายชั้นห่อหุ้มอยู่เปลือกชั้นนอกมีสีเขียวแก่กว่าชั้นใน ปลายฝักมีเส้นเล็กๆ สีเขียวอ่อนใสบางเหมือนเส้นผม เรียกว่าไหมข้าวโพด หรือ ฝอยข้าวโพด ข้าวโพดต้นหนึ่งอาจมีหลายฝักก็ได้ และเมล็ดข้าวโพดที่เรารับประทานมีหลายสี เช่น สีนวล สีเหลือง สีม่วง ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยจะเกาะติดอยู่ตรงส่วนที่เป็นแกนกลางเรียกว่าซักข้าวโพด
ประโยชน์ :
โดยจะประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต เบต้าแคโรทีน วิตามินซี แคลเซียม เส้นใยอาหาร ฟอสฟอรัส เป็นสารประกอบกับแคลเซียมในการสร้างกระดูกและฟัน ช่วยให้การหลั่งน้ำนมเป็นไปตามปกติ ช่วยสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ รวมกับธาตุอื่นรักษาสมดุลความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย ถ้ากินข้าวโพดอ่อนเป็นประจำ จะช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเลือด ป้องกันเส้นเลือดแข็งตัว ช่วยย่อยอาหาร ลดอาการบวมน้ำ รักษาโรคไตอักเสบเรื้อรัง โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง และจมูกอักเสบเรื้อรัง ช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้เจริญอาหาร กระตุ้นให้กระเพาะและลำไส้ทำงานได้ดีอีกด้วย
นอกจากประโยชน์ในรูปของอาหารแล้ว ข้าวโพดยังมีประโยชน์ในอุตสาหกรรมเครื่องอุปโภคหลายชนิด เช่น ทำสบู่, น้ำมันใส่ผม, น้ำหอม, กระดาษ, ผ้า ตลอดจนฝัก, ใบ, ลำต้น ยังนำมาใช้ทำผลิตภัณฑ์อีกหลายอย่าง อาทิ ปุ๋ย, วัตถุฉนวนไฟฟ้า ซังข้าวโพดแห้งยังใช้เป็นเชื้อเพลิงในการหุงต้มได้ข้าวโพดมีสรรพคุณทางยา อาทิ ช่วยบำรุงร่างกาย, หัวใจ, ปอด, ขับปัสสาวะ และนำมาพอกรักษาแผล
คุณค่าทางอาหาร :
ข้าวโพดอ่อน 100 กรัม ให้พลังงาน 33 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย น้ำ 91.8 กรัม โปรตีน 2.3 กรัม ไขมัน 0.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 5.3 กรัม แคลเซียม 4 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 25 มิลลิกรัม เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 12 ไมโครกรัม ไทอะมิน 0.13 มิลลิกรัม ไนอะซิน 0.4 มิลลิกรัม วิตามินซี 23 มิลลิกรัม
“ข้าวโพด”มีคุณค่าทางอาหารมากมาย ประกอบไปด้วยสารอาหาร ดังนี้
- คาร์โบไฮเดรต “ข้าวโพด”มีคาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ 72 ข้าวโพดหนัก 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่
- ไขมัน เมล็ดข้าวโพดมีไขมันอยู่ร้อยละ 4 มีฤทธิ์ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอล ช่วยลดความดันโลหิตสูง
- โปรตีน โปรตีนในข้าวโพดเป็นโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ เพราะจากกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายคือไลซีนและทริบโตฟาน ควรรับประทานข้าวโพดร่วมกับถั่วเมล็ดต่างๆ
- วิตามิน อุดมด้วยวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 รวมไปถึงเกลือแร่ด้วย
vega-28-08-14

เพลงเกี่ยวกับแม่ (109)

เอกอัครราชทูต  วิญญู แจ่มขำ
               เนื่องจากเดือนสิงหาคมใกล้จะสิ้นสุดลง จึงขอถือโอกาสเล่าถึงเพลงเกี่ยวกับแม่  โดยที่รัฐบาลสยามได้เห็นความสำคัญของผู้เป็นแม่และประสงค์จะปลูกฝังบรรดาลูก ๆ นึกถึงบุญคุณของผู้เป็นแม่ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้จัดงานวันแม่ครั้งแรกที่สวนอัมพรเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๔๘๖ แต่เนื่องจากระยะนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีสงครามโลกพอดี ปีต่อ ๆ มาจึงไม่ได้จัดต่อเนื่องจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง
หลังสงครามโลก รัฐบาลไทยได้สนับสนุนให้สำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ เป็นผู้จัดงานวันแม่ประจำปีขึ้นเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๙๓ และถือเป็นวันแม่ของชาติ ซึ่งมีกิจกรรมต่าง ๆ ได้รับความสนใจจากประชาชนมาก แต่จัดได้เพียงไม่กี่ปีก็ต้องหยุดจัด เพราะกระทรวงวัฒนธรรมถูกยุบ จึงขาดผู้สนับสนุนการจัดงาน
ต่อมา สมาคมครูคาทอลิคแห่งประเทศไทยได้จัดงานวันแม่ขึ้นใหม่เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๑๕ แต่ก็จัดได้เพียงครั้งเดียว ในปี ๒๕๑๙ คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กำหนดวันแม่ใหม่ให้แน่นอน  เพื่อการจัดงาน โดยถือวันที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพ คือวันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และได้จัดต่อเนื่องมาทุกปี
ในบรรดาครูเพลงซึ่งได้แต่งเพลงเกี่ยวกับแม่ที่ยังคงเป็นเพลงอมตะ ต้องถือว่าครูไพบูลย์ บุตรขัน (๔ กันยายน ๒๔๖๑-๒๙ สิงหาคม ๒๕๑๕) คนบ้านท้องคุ้ง ตำบลเชียงรากใหญ่ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี เป็นคีตกวีลูกทุ่งผู้ฝากผลงานผ่านนักร้องหลายคน เพลงนั้นก็คือเพลง “ค่าน้ำนม” ซึ่งแต่งและตั้งใจให้คุณบุญช่วย หิรัญสุนทร(นักร้องชนะเลิศแห่งประเทศไทยในปี ๒๔๙๒ คู่กับคุณทัศนัย ชะอุ่มงาม) ผู้ร้องเพลงน้ำตาแสงไต้ เมื่อปี ๒๔๘๘ (ผลงานของครูสง่า อารัมภีร ครูมารุต และครูเนรมิต) ขับร้อง  ลงแผ่นเสียง แต่คุณบุญช่วยกลับมาจากจังหวัดเชียงใหม่ไม่ทัน ครูสง่า ซึ่งเป็นผู้จัดเสียงประสาน จัดวงดนตรี และจัดนักร้อง จึงตัดสินใจให้คุณชาญ เย็นแข (๑๐ กันยายน ๒๔๖๙-๕ ตุลาคม ๒๕๓๑) นักร้องสลับฉากละครคณะศิวารมณ์ซึ่งครูสง่าเป็นผู้ควบคุมวงดนตรีของคณะ ฯ (สมัยนั้นยังไม่มีโรงหนัง มีแต่โรงละคร ผู้คนก็ชอบดูละคร) ร้องลงแผ่นเสียงแทน โดยคุณแพ็ท ซิเกรา (อาของคุณแมนรัตน์ ศรีกรานนท์ นักดนตรีและนักแต่งเพลง) ผู้อำนวยการอัดแผ่นเสียงของบริษัทนำไทย ซึ่งผลิตแผ่นเสียงตราหมานั่งหน้ากระบอกลำโพงเสียง และผลิตแผ่นเสียงเพลงของคณะสุนทราภรณ์จนขายดี  กับคุณสวัสดิภาพ บุนนาค ผู้จัดการแผนกแผ่นเสียงของบริษัท ฯ (น้องเขยของครูไพบูลย์ และหุ้นส่วนของบริษัทแผ่นเสียงดีคูเปอร์ จอห์นสตัน ตราค้างคาว จากเยอรมนี ผู้ตัดสินใจซื้อเพลงจากครูไพบูลย์ นักแต่งเพลงหน้าใหม่ มาอัดแผ่นเสียงออกจำหน่ายแข่งเพลงของคณะสุนทราภรณ์ ซึ่งบริษัทกมลสุโศลชวนไปอัดแผ่นเสียงตราโคลัมเบียที่บริษัท ฯ แบบผูกขาด) ดูแลและควบคุมการอัดแผ่นเสียงครั้งนี้ ซึ่งทั้ง ๒ คนตกลงให้คุณชาญร้องทดสอบหากคุณบุญช่วยไม่มา เพลงชุดแรกที่จะอัดแผ่นเสียงแผ่นครั่งตกเป็นแตก  ความเร็ว ๗๘ รอบต่อนาที ได้แก่เพลงมนต์เมืองเหนือซึ่งครูไพบูลย์แต่งเป็นเพลงแรก   แต่ออกขายหลังเพลงค่าน้ำนมซึ่งเป็นเพลงแรกที่คุณชาญได้ร้องลงแผ่นเสียงจนมีชื่อเสียง และขายได้ดีรองจากเพลงของสุนทราภรณ์ เพลงคนจนคนจร (คุณชาญ เย็นแข) เพลงดอกไม้หน้าพระ (คุณบุญช่วย หิรัญสุนทร-คุณเฉลา ประสพศาสตร์) และเพลงดอกไม้หน้าฝน (คุณเฉลา ประสพศาสตร์)
วันนั้นเป็นวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๔๙๒ ห้องอัดแผ่นเสียงกมลสุโกศลอยู่ชั้นบนของโรงหนังเฉลิมไทย คิดค่าเช่าชั่วโมงละ ๑๕๐ บาท วงดนตรีทั้งวงต้องมาอยู่ในห้องอัด  เพื่อให้นักร้องร้องเพลงพร้อมการเล่นดนตรี งบประมาณอัดเพลงหนึ่งไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท (สมัยนั้นทองรูปพรรณบาทละ ๑๐๐ บาท และ ๗ บาทต่อ ๑ ดอลล่าร์สหรัฐ) ครูสง่าได้รับค่าทำเพลง ๆ ละ ๔๕๐ บาท โดยรวมค่าเรียบเรียง ค่านักดนตรี ๘ คน และค่านักร้อง  โดยนักร้องเด่น ๆ อย่างคุณสมยศ ทัศนพันธ์ ได้รับเพลงละ ๘๐ บาท นักร้องรอง ๆ ได้รับเพลงละ ๔๐-๕๐ บาท ครูไพบูลย์รับค่าแต่งเพลงชุดแรก ๖ เพลง ๖๔๐ บาท
ที่จริงคุณชาญร้องเพลงค่าน้ำนมได้แล้ว เพราะครูสง่าให้ช่วยร้องฮัมจนได้ต่อเพลงนั้นได้ เมื่อได้ร้องทดสอบพร้อมดนตรีได้เพียงท่อนเดียว คุณแพ็ทตกลงอัดเลย คุณชาญร้องได้ ๔-๕ เที่ยว เป็นใช้ได้ และได้ค่าร้องเพลงไป ๕๐ บาท
เพลงที่เกี่ยวกับแม่ของครูไพบูลย์ต่อ ๆ มาก็คือเพลงอ้อมอกแม่ (คุณบุญช่วย  หิรัญสุนทร พ.ศ. ๒๔๙๔) เพลงโอ้ชนกชนนี (คุณชาญ เย็นแข) เพลงโอ้บุพพการี (คุณลัดดา ศีวรนันท์ พ.ศ. ๒๔๙๙) เพลงชั่วดีก็ลูกแม่ (คุณวินัย จุลละบุษปะ)
สำหรับเพลงที่เกี่ยวกับแม่ของเยอรมันคงมีหลายเพลง แต่ที่ผู้เขียนชอบคือเพลง Mama ขับร้องโดย Heintje นักร้องเด็กชายเชื้อสายดัทช์ เมื่อปี ๑๙๖๗ (พ.ศ. ๒๕๑๐) จังหวะ slow-foxtrot จากแผ่นเสียง Ariola คำร้องของนาย Bruno Balz ส่วนทำนองได้นำมาจากเพลง Mamma ต้นฉบับภาษาอิตาลี่ของนาย Censare Andrea Bixio (๑๑ ตุลาคม ค.ศ. ๑๘๙๖-๕ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๗๘/พ.ศ. ๒๔๓๙- ๒๕๒๑) คำร้องโดยนาย Bixio Cherubini (๒๗ มีนาคม ค.ศ. ๑๘๙๗-๑๔ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๘๗/พ.ศ. ๒๔๔๐-๒๕๓๐) ในปี ๑๙๔๐ (พ.ศ. ๒๔๘๓) ซึ่งบรรยายความรู้สึกของลูกชายที่อยู่ห่างไกลจากแม่ และมีความสุขมากที่ใกล้จะกลับมาหาแม่ จึงได้ฝากเสียงเพลงที่ร้องเฉพาะเพื่อแม่ให้โบยบินมาก่อน เมื่อคิดถึงเสียงกล่อมของแม่และอายุขัยของแม่ ลูกกลับมาแล้วจะไม่ปล่อยแม่อยู่ตามลำพังและจากแม่ไปไหนอีก เพราะแม่คือชีวิตจิตใจของลูกนั่นเอง
ผู้ร้องอัดแผ่นเสียงคนแรกในปี ๑๙๔๐ (พ.ศ. ๒๔๘๓) และออกขายในปี ๑๙๔๑ (พ.ศ. ๒๔๘๔) คือนาย Beniamino Gigli (๒๐ มีนาคม ค.ศ. ๑๘๙๐-๓๐ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๕๗/พ.ศ. ๒๔๓๓-๒๕๐๐) นักร้องอุปรากรเสียงสูงชาวอิตาลี ต่อมานักร้องอุปรากรชาวอิตาลี่อีกหลายคนก็ร้องเพลงนี้ รวมทั้งนาย Luciano Pavarotti (๑๒ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๓๕-๖ กันยายน ค.ศ. ๒๐๐๗/พ.ศ. ๒๔๗๘-๒๕๕๐) และนาย Andrea Bocelli (๒๒ กันยายน ค.ศ. ๑๙๕๘/พ.ศ. ๒๕๐๑) ผู้มีปัญหาสายตามาตั้งแต่เกิด และตาบอดเมื่ออายุ ๑๒ ปี เนื่องจากอุบัติเหตุจากการเล่นฟุตบอล

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หารือตัวต่อตัว ปธน.ยูเครน-ปูตินราบรื่น ทุกฝ่ายหนุนแผนสันติภาพเคียฟ

       เอเอฟพี/รอยเตอร์ – เปโตร โปโรเชนโก ประธานาธิบดียูเครนเผยในวันพุธ (27 ส.ค.) ว่าทุกฝ่ายสนับสนุนข้อเสนอสันติภาพของเคียฟ สำหรับยุติเหตุสู้รบทางภาคตะวันออกของยูเครน หลังการหารือตัวต่อตัวกับวลาดิมีร์ ปูติน ที่เมืองหลวงของเบลารุส ขณะที่ผู้นำรัสเซียระบุว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องหยุดการนองเลือดในยูเครน แต่ชี้ขึ้นอยู่กับเคียฟเองว่าจะบรรลุเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิงกับฝ่ายกบฏหรือไม่
       
       “จะมีการเตรียมการโรดแมปเพื่อบรรลุเป้าหมายโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะที่แน่นอนว่ากฎเกณฑ์ข้อตกลงหยุดยิงจำเป็นต้องมีคุณประโยชน์ทั้งสองฝ่าย” นายโปโรเชนโก กล่าวในถ้อยแถลงหลังหารือกับนายปูติน
       
       ประธานาธิบดีรายนี้โพสต์ถ้อยแถลงผ่านทวิตเตอร์ด้วยว่า โต๊ะเจรจาหลายฝ่ายในกรุงมินสก์ ซึ่งยังร่วมด้วยนางแคเทอรีน แอชตัน หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของอียู และผู้นำของคาซัคสถานกับเบลารุส ทั้งหมดต่างสนับสนุนข้อเสนอสันติภาพของเคียฟ เพื่อยุติการสู้รบทางภาคตะวันออก “ยุทธศาสตร์สันติภาพที่ริเริ่มโดยยูเครน ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำทุกท่านที่เข้าร่วมประชุมในกรุงมินสก์ โดยปราศจากการคัดค้าน”
       
       ด้านประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เผยว่าเขาและประธานาธิบดีโปโรเชนโก ลงความเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการยุติเหตุนองเลือดในยูเครน แต่ก็ขึ้นอยู่กับเคียฟเองว่าจะบรรลุเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิงกับฝ่ายกบฏได้หรือไม่
      การประชุมครั้งนี้นายปูตินและโปโรเชนโก ได้หารือกันแบบตัวต่อตัวนานราว 2 ชั่วโมง หลังจากเบื้องต้นใช้เวลานานกว่า 6 ชั่วโมงบนโต๊ะเจรจาหลายฝ่ายที่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอียูและผู้นำของเบลารุสกับคาซัคสถานเข้าร่วม ด้วยมีเป้าหมายยุติวิกฤตในยูเครน
       
       “เราพูดคุยกันถึงความจำเป็นที่ต้องยุติเหตุนองเลือดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราหารือกันเกี่ยวกับความจำเป็นที่ต้องบ่ายหน้าสู่ข้อตกลงทางการเมืองในทุกประเด็น” ปูตินบอกกับผู้สื่อข่าว “ในส่วนของรัสเซียจะทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนกระบวนการสันติภาพนี้ ถ้ามันเริ่มต้นขึ้น”
       
       อย่างไรก็ตาม เขาระบุว่ามันขึ้นอยู่กับเคียฟเองที่ต้องบรรลุเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิงกับฝ่ายกบฏนิยมรัสเซียทางภาคตะวันออก ที่กำลังต่อสู้เพื่อแยกตัวออกจากยูเครน
       
       อนึ่ง ชาติตะวันตกกล่าวหารัสเซียให้การสนับสนุนพวกแบ่งแยกดินแดนและส่งมอบอาวุธแก่คนเหล่านั้น ทว่ามอสโกก็ปฏิเสธมาโดยตลอด
ผู้จัดการ

นักวิทย์เตือนธารลาวาจาก “ภูเขาไฟคิเลาเอีย” เสี่ยงไหลท่วมชุมชนในรัฐฮาวาย

       รอยเตอร์ – นักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่ประจำมลรัฐฮาวายของสหรัฐฯ เตือนชาวบ้านบนเกาะบิ๊กไอส์แลนด์ให้เฝ้าระวังอันตรายจากธารลาวาของภูเขาไฟคิเลาเอีย (Kilauea) ซึ่งกำลังเคลื่อนที่ผ่านเขตป่าอนุรักษ์ และมุ่งหน้ามายังชุมชนของพวกเขา
       
       นักวิทยาศาสตร์จากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) ระบุว่า แม้ลาวาจะยังไม่คุกคามวิถีชีวิตของชาวบ้านในชุมชน กาโอเฮ โฮมสเตดส์ ในเขตปูนา ทว่ามันก็อยู่ห่างออกไปไม่ถึง 3 กิโลเมตร และมีแนวโน้มที่จะไหลคืบเข้ามาใกล้ชุมชนด้วย
       
       “เรากำลังเฝ้าสังเกตกลุ่มควันไอน้ำ” จิม เกาอาฮีเกาอา นักวิทยาศาสตร์ปฏิบัติการประจำศูนย์เฝ้าระวังภูเขาไฟฮาวาย ซึ่งอยู่ในสังกัด USGS กล่าว
       
       ศูนย์สังเกตการณ์ภูเขาไฟฮาวายและสำนักงานป้องกันพลเรือนประจำเทศมณฑลฮาวายได้นัดประชุมตลอดทั้งสัปดาห์นี้ เพื่อแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบถึงอันตราย และทางเทศมณฑลยังส่งเครื่องบินขึ้นไปบินสังเกตการณ์ประเมินความเสี่ยงทุกวัน
       
       “เป็นเรื่องยากที่จะทำนายว่าลาวาจะไหลไปในทิศทางใด” ดาร์รีล โอลิเวรา ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันพลเรือนประจำเทศมณฑลฮาวาย กล่าว พร้อมระบุว่าธารลาวาจะไหลเป็นระยะทางราว 200-300 ฟุตต่อวัน
       
       เกาอาฮีเกาอา อธิบายว่า หากลาวาไหลไปทางชุมชนกาโอเฮ ก็ยากจะที่คาดเดาได้ว่ามันจะถึงบ้านเรือนประชาชนเมื่อใด เพราะการเคลื่อนที่ของธารลาวานั้น “เร็วบ้าง ช้าบ้าง”
       
       “อาจจะกินเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ขึ้นอยู่กับวิถีของมัน… ลาวาจะเคลื่อนที่ทั้งบนผิวดินและตามรอยแยกของพื้นดินซึ่งมีต้นไม้ปกคลุม เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้ แต่เวลานี้สังเกตว่ามีไอน้ำหนาแน่นมาก”
       
       การปะทุของภูเขาไฟคิเลาเอียเริ่มมาตั้งแต่ปี 1983 และเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมาก็มีธารลาวาไหลทะลักออกมาจากปล่องปูโอ (Pu’u O’o)
       
       เกาอาฮีเกาอา ระบุว่า ลาวากำลังเคลื่อนที่ไปทางป่าอนุรักษ์ที่มีความชื้นสูง ซึ่งทำให้เกิดการเผาไหม้อย่างช้าๆ ทว่ายังไม่เกิดไฟป่า
       
       โอลิเวรา ไม่ทราบจำนวนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนกาโอเฮ แต่คาดว่าจะมีบ้านเรือนประมาณ 30-50 หลัง
       
       ครั้งสุดท้ายที่บ้านเรือนในรัฐฮาวายถูกเพลิงไหม้เพราะกระแสธารลาวาคือเมื่อปี 2012 โดยเกิดขึ้นที่เขตรอยัลการ์เดนส์ เมืองกาลาปานา
File:Puu Oo looking up Kilauea - edit.jpg
ภาพจาก http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Puu_Oo_looking_up_Kilauea_-_edit.jpg
ผู้จัดการ

UN ระบุสู้’อีโบลา’คือการทำ’สงคราม’คาดต้องใช้เวลา 6 เดือนจึงจะเกิดผล

       เอเจนซีส์ – ผู้แทนสหประชาชาติชี้ “สงคราม” ต่อสู้กับเชื้ออีโบลาต้องใช้เวลานานถึง 6 เดือน ขณะที่นักวิชาการผู้ร่วมค้นพบไวรัสร้ายนี้ระบุการระบาดครั้งล่าสุดเป็นเพราะหลายปัจจัยส่งเสริม หนึ่งในนั้นคือความล่าช้าในการรับมือขององค์การระหว่างประเทศ เป็นต้นว่าองค์การอนามัยโลก ทางด้านไลบีเรีย 1 ในชาติแอฟริกาตะวันตกซึ่งกำลังเกิดการระบาดของเชื้อร้ายนี้ ประธานาธิบดีได้ออกคำสั่งปลดบรรดารัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ยังไม่ยอมเดินทางกลับประเทศ อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง ผู้อำนวยการ “ยูเสด” ของสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่า อีโบลาเป็นโรคที่ป้องกันง่ายกว่าไข้มาเลเรียเสียอีก โดยวิธีจัดการที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การให้ความรู้แก่ประชาชน
       
       เดวิด นาบาร์โร แพทย์ชาวอังกฤษที่ได้รับแต่งตั้งจากสหประชาชาติ ให้เป็นผู้ประสานงานมาตรการรับมือวิกฤตโรคอีโบลาทั่วโลก แถลงเมื่อวันจันทร์ (24) ขณะอยู่ในกรุงฟรีทาวน์ เมืองหลวงของเซียร์ราลีโอนว่า ความพยายามในการจัดการกับอีโบลาไม่ได้เป็นเพียงแค่การต่อสู้ แต่เป็น “สงคราม” ที่ต้องการความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพจากทุกฝ่าย และคาดว่า ศึกครั้งนี้จะสัมฤทธิ์ผลภายใน 6 เดือน
       
       ตามข้อมูลล่าสุดระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นมา การระบาดของอีโบลาระลอกนี้ได้มีผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่า 2,600 คน และเสียชีวิต 1,427 คน ส่วนใหญ่ที่สุดอยู่ในแถบแอฟริกาตะวันตก
       
       อย่างไรก็ดี นาบาร์โรสำทับว่า การที่หลายประเทศสั่งห้ามเที่ยวบินจากพวกประเทศที่มีผู้ติดเชื้อ กำลังกลายเป็นการบ่อนทำลายความพยายามของยูเอ็นในการหยุดยั้งการระบาดของอีโบลา
       
       ในวันเดียวกัน องค์การอนามัยโลก (ฮู) แถลงว่า มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วทั้งภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก เสียชีวิตไปมากกว่า 120 คน และติดเชื้อมากกว่า 240 คน แล้วในระหว่างการระบาดของโรคอีโบลาระลอกนี้ โดยที่ ฮู ระบุว่า ถือเป็น “การระบาดในระดับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ในหลายๆ ทาง หนึ่งในนั้นคือการที่มีแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอื่นๆ ติดเชื้อในอัตราที่สูงมาก
       
       ต่อมาในวันอังคาร (25) ปีเตอร์ ปิอ็อต นักวิจัยเบลเยียมที่เป็นหนึ่งผู้ร่วมค้นพบเชื้อไวรัสอีโบลา ได้ออกมากล่าวว่า “ปัจจัยหลายๆ อย่างที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างประจวบเหมาะ” ในแอฟริกาตะวันตกในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ไวรัสนี้แพร่ระบาดออกไปอย่างชนิดไม่มีใครไหวตัวทัน
       ปิอ็อตเสริมว่า การระบาดของไวรัสนี้ในระดับที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นสิ่งซึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนเลย และแจงว่า ปัจจัยหลายอย่างที่ส่งเสริมกันและกันอย่างประจวบเหมาะ ได้แก่การที่อีโบลาระบาดในหมู่ประเทศที่ระบบสาธารณสุขอ่อนแอมากจากการเกิดสงครามการเมืองมายาวนานนับสิบปี มิหนำซ้ำประชาชนยังเคลือบแคลงสงสัยในเจ้าหน้าที่ราชการ
       
       นักวิจัยผู้นี้ ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการของยูเอ็นเอดส์ และปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการของสถาบันลอนดอน สกูล ออฟ ไฮยีน แอนด์ ทรอปิคัล เมดิซีน ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาและวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญด้านโรคเขตร้อนมากที่สุดของโลก ยังวิจารณ์ความล่าช้าในการตอบสนองของบรรดาองค์การระหว่างประเทศ เป็นต้นว่า ฮู ที่เพิ่งตื่นตัวเรื่องนี้เมื่อเดือนกรกฎาคมปีนี้ ทั้งที่อีโบลาเริ่มระบาดระลอกนี้ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว
       
       อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความหวั่นวิตกต่อการระบาดของโรคนี้ทั่วโลก เจเรมี โคนินดิก ผู้อำนวยการขององค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (ยูเสด) ได้แถลงให้ความหวังว่า การที่ประชาชนทั่วไปขาดความรู้ความเข้าใจในไวรัสนี้ เป็นอุปสรรคต่อการต่อสู้กับการระบาด ทั้งที่จริงๆ แล้ว เราสามารถป้องกันเชื้ออีโบลาได้ง่ายกว่าเชื้อไข้มาเลเรียเสียอีก ทั้งนี้ การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันตัวเองเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะอีโบลา
       
       โคนินดิกแถลงเรื่องนี้ขณะอยู่ระหว่างเยือนไลบีเรีย ประเทศซึ่งโรคอีโบลาระบาดรุนแรงที่สุดในเวลานี้ โดยมีผู้เสียชีวิตในระลอกนี้แล้ว 624 คน
       
       นอกจากทำให้มีผู้เสียชีวิตและติดเชื้อแล้ว อีโบลายังเป็นสาเหตุให้รัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไลบีเรียจำนวนหนึ่งถูกปลดออกจากตำแหน่ง เนื่องจากฝ่าฝืนคำสั่งของประธานาธิบดีเอลเลน จอห์นสัน เซอร์ลีฟ ที่ให้อยู่แต่ภายในประเทศ และหากอยู่ในต่างประเทศก็ให้รีบเดินทางกลับบ้าน
       
       คำแถลงระบุเรื่องปลดรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศนี้ ปรากฏในคำแถลงฉบับหนึ่งของสำนักงานประธานาธิบดีไลบีเรียซึ่งออกในคืนวันจันทร์ (25) ทว่าไม่ได้ระบุชัดเจนว่ามีใครบ้างถูกปลด และถูกปลดไปเป็นจำนวนกี่คน
ผู้จัดการ

วิธีทำความสะอาดกระทะไหม้

เพื่อนๆหลายคนคงจะเคยเจอปัญหา “กระทะไหม้” หลังจากไม่ระมัดระวังในการใช้ไฟในการทำอาหารแรงเกินไป วันนี้มีวิธีทำความสะอาดรอยไหม้ของกระทะด้วยน้ำส้มสายชูมาฝากค่ะ…..
**ส่วนผสม**
น้ำส้มสายชู 1 ถ้วยตวง // เบคกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะ // น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง หรือปรับตามความเหมาะสมของขนาดกระทะ
**วิธีทำความสะอาด**
1. เติมน้ำและน้ำส้มสายชู ลงในกระทะที่มีรอยไหม้
2. นำกระทะไปตั้งเตา แล้วต้มส่วนผสมให้เดือด โดยจะสังเกตจากรอยไหม้ที่จะเริ่มหลุดออก
3. นำกระทะลงจากเตา แล้วใส่เบคกิ้งโซดาลงไป
4. เทน้ำทิ้ง แล้วขัดกระทะสแตนเลสด้วยที่ขัดตามปรกติ คราบรอยไหม้จะหลุดออก แต่ถ้ายังมีติดอยู่ ให้ใช้เบคกิ้งโซดาเล็กน้อยผสมน้ำ ทาบริเวณที่ต้องการแล้วถูออก คราบรอยไหม้ก็จะหลุดออกไป
แต่ถ้ามีรอยไหม้เยอะ ให้นำน้ำส้มสายชูตั้งไฟจนร้อน แล้วถูบริเวณคราบดำที่ติดกระทะ จากนั้นนำกระทะไปแช่ในน้ำร้อนจัด ประมาณ 10 นาที คราบดำก็จะหลุดออกมาหมดแล้วค่ะ
mb-27-08-14
นิตยสารแม่บ้าน