วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

เห็ดหูหนู : สุดยอดของเห็ด

เห็ดหูหนูเป็นเห็ดที่หาง่าย ราคาไม่แพง มีการบริโภคอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะอาหารจีนเท่านั้น ปัจจุบันเป็นอาหารทั่วไป เช่น ผัดเนื้อไก่ใส่ขิงใส่เห็ดหูหนู ยำเห็ดหูหนู แกงจืดเห็ดหูหนู เป็นต้น เรียกว่า เป็นอาหารที่คุ้นเคยสำหรับคนไทย
เห็ดหูหนูมีอยู่ ๒ ชนิด
๑. เห็ดหูหนูขาว
๒. เห็ดหูหนูดำ
• เห็ดหูหนูขาว
ได้ถูกยกย่องเป็น สุดยอดของเห็ด สมัยก่อนเป็นเห็ดที่พบได้น้อยตามธรรมชาติ ราคาแพง เป็นอาหารบำรุงสำหรับคนที่มีฐานะร่ำรวย แต่ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยง ทำให้ราคาถูก หาซื้อได้ง่าย ในสมัยปลายราชวงศ์ชิง มีการระบาดของวัณโรค ผู้ป่วยมักมีอาการไข้หลังเที่ยงวัน ไอแห้งๆ มีเสมหะปนเลือด มีการใช้เห็ดหูหนูขาวบำรุงรักษา เสริมกับยา ทำให้ผลการรักษาดีขึ้น การศึกษาวิจัยสมัยใหม่พบว่า เห็ดหูหนูขาว มีส่วนประกอบของโปรตีน ไขมัน น้ำตาล ไฟเบอร์ กรดอะมิโน วิตามิน และสารจำเป็นต่างๆ รวมทั้งน้ำมันยางอย่างอุดมสมบูรณ์
สรรพคุณที่สำคัญ คือ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้การไหลเวียนเลือดของหัวใจดีขึ้น (ลดอาการหลอดเลือดหัวใจขาด ตีบ) มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ลดอาการแทรกซ้อน ภายหลังการฉายแสงรักษาโรคมะเร็ง
สรรพคุณทางยาจีน เสริมบำรุงสารน้ำของปอด บำรุงไต ทำให้เกิดสารน้ำ หยุดไอ (ไอที่เกิดจากปอดแห้ง ไอแห้งๆ มีเลือดปน) บำรุงพลัง บำรุงหัวใจ บำรุงสมอง มีฤทธิ์สงบประสาท ช่วยให้นอนหลับ
การประยุกต์ใช้ทางคลินิก
เนื่องจากเห็ดหูหนูขาวมีคุณสมบัติทางยา ไม่ร้อน ไม่เย็น มีรสหวาน จึงมีคุณสมบัติบำรุง เสริมธาตุน้ำ และวิ่งเส้นลมปราณปอด (สีขาวเป็นสีของปอด) มักใช้บำรุงร่างกาย คนสูงอายุ ที่มีอาการป่วยไข้เรื้อรัง ทำให้พลังและยินพร่อง ใจสั่น นอนไม่หลับ ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรค ไอแห้งๆ ไอมีเสมหะปนเลือด คนที่มีความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง หรือมีภาวะการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง อันเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดสมองแตก หรือหลอดเลือดหัวใจตีบในเวลาต่อมา
• เห็ดหูหนูดำ
ได้ชื่อว่า “อาหารคาวของอาหารเจ” ในทางแพทย์จีน ถือว่าเป็นยาบำรุงเลือดและพลัง มีส่วนประกอบคล้ายกับเห็ดหูหนูขาว คุณสมบัติทางยา ไม่ร้อน ไม่เย็น รสหวาน วิ่งเส้นลม-ปราณไต (สีดำเป็นสีของไต) เป็นเห็ดที่ได้รับพลังยินสะสม ทำให้ลดความร้อน หรือเกิดความเย็นแก่กระเพาะอาหารได้
การประยุกต์ใช้ทางคลินิก
มักนำมาเป็นอาหารสำหรับคนที่มีความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง หลอดเลือดแดงแข็งตัว นิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในไต วัณโรค ไอแห้งๆ อุจจาระเป็นเลือด ป้องกันมะเร็ง ลดอาการแทรกซ้อนภายหลังจากการฉายรังสี การศึกษาวิจัยสมัยใหม่พบว่า เห็ดหูหนูดำมีน้ำมันยางธรรมชาติและสารใยไฟเบอร์ ช่วยในการระบายขับของเสียในลำไส้ มีฤทธิ์การต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือด และคุณสมบัติการลดไขมันในเลือด ซึ่งเป็นอาหารที่ เหมาะกับคนสูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคหัวใจ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่เย็นกว่าเห็ดหูหนูขาว มีฤทธิ์ในการลดความร้อนของเลือด หยุดเลือด เช่น ประจำเดือนมากผิดปกติ ริดสีดวงทวาร อุจจาระ ปัสสาวะเป็นเลือด (ซึ่งเกิดจากความร้อนของระบบเลือด) คนที่ภาวะร่างกาย เย็นเกินไป และมีอาการดังกล่าว ต้องพิจารณาเสริมบำรุงด้านอื่นประกอบ จึงไม่แนะนำให้กินเห็ดหูหนูในช่วงกลางคืน ขณะที่หยางร่างกายอ่อนลง และมีภาวะยินของธรรมชาติมาก
ข้อเปรียบเทียบเห็ดหูหนูขาว-เห็ดหูหนูดำ
• ข้อเหมือนกัน
- คุณสมบัติ ไม่ร้อน-ไม่เย็น
- รสหวาน
- ส่วนประกอบ
- ต้านมะเร็ง ลดไขมันในเลือด ลดความดันเลือดสูง หลอดเลือดตีบ
• ข้อต่างกัน
เห็ดหูหนูขาว
๑. วิ่งเส้นลมปราณปอด
๒. บำรุงพลังหยินของปอด
๓. จุดเด่นที่วัณโรคปอด ไอแห้งๆ ไอมีเลือดปน (เนื่องจากปอดแห้ง ขาดสารยินหล่อเลี้ยง) เลือดกำเดาออก คอแห้ง เบื่ออาหารเนื่องจากกระเพาะ-อาหารแห้ง
เห็ดหูหนูดำ
๑. วิ่งเส้นลมปราณไต
๒. บำรุงพลังเลือดยินของไต (บำรุงสมอง)
๓. จุดเด่น เลือดออกเนื่องจากเลือดร้อน โดยเฉพาะอุจจาระเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด ประจำเดือนมากผิดปกติ ริดสีดวงทวาร โรคบิด (เนื่องจากเลือดร้อน)
หมายเหตุ : คุณสมบัติคล้ายกัน แต่การออกฤทธิ์ของเห็ดหูหนูขาวจะออกฤทธิ์ที่ปอดและกระเพาะอาหาร ส่วนเห็ดหูหนูดำจะออกฤทธิ์ที่ไตและตับ
เห็ดหูหนูนับเป็นอาหารสำหรับสุขภาพที่ดี ราคาถูก หาซื้อง่าย เป็น “สุดยอดของเห็ด” เพราะสอดคล้องกับ โรคยอดฮิตในปัจจุบัน คือ โรคหัวใจ โรค มะเร็ง โรคความดันเลือดสูง โรคไขมัน ภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ซึ่งเป็นสาเหตุ สำคัญของโรคอัมพฤกษ์อัมพาต ข้อควรระวัง อาหารเหล่านี้มีลักษณะทำให้เกิดความชุ่มชื้น ความเย็น คนที่ระบบการ ย่อยอาหาร หรือมีภาวะของร่างกายค่อนไปทางเย็นมากๆ ต้องมีอาหารหรือสมุนไพรที่มีคุณสมบัติร้อนประกอบด้วย และระมัดระวังไม่ควรกินมากในช่วงกลางคืน ควรกินในช่วงกลางวัน น่าจะเหมาะสมกว่า หลักการแพทย์ของจีนเน้นถึงสภาพอาหารที่เหมาะสม ควรพิจารณาองค์ประกอบ เงื่อนไขบุคคล เงื่อนไขเวลา และภูมิประเทศ (สถานที่) เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริง
ตำรับอาหารอย่างง่าย
๑. เห็ดหูหนูขาวตุ๋นน้ำตาลกรวด : ใส่เห็ดหูหนูขาว ๑ ช่อ แช่น้ำจนพองตัว ล้างสะอาด เติมน้ำตาลกรวดพอประมาณ ตุ๋นรวมกันด้วยไฟอ่อนๆ ๑ ชั่วโมง
สรรพคุณ : วัณโรค ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง หลอดเลือดแข็งตัว บำรุงให้ผิวพรรณชุ่มชื้น สวยงาม
๒. โจ๊กเห็ดหูหนูดำ : เห็ดหูหนูดำ ๑๐ กรัม แช่น้ำจนพอง ล้างให้สะอาด พุทราแดง ๕ ผล ข้าวสาร ๑ ช้อนโต๊ะ ใส่ต้มพร้อมกันในหม้อ ต้มจนละเอียด ค่อยเติมน้ำตาลกรวดพอประมาณ
สรรพคุณ : แก้เลือดจาง อ่อนเพลีย ไอเป็นเลือด หอบหืด ช่วยขับนิ่วในถุงน้ำดี และนิ่วในทางเดินกระเพาะปัสสาวะ
๓. ซุปเห็ดหูหนูขาว : ใช้เห็ดหูหนูขาว ๑ ช่อ แช่น้ำจนพอง ล้างให้สะอาด เนื้อหมู ๒๐๐ กรัม ขิงสด ๓ แผ่น ใส่ในหม้อต้มรวมกันจนสุกดี เติมเกลือปริมาณเล็กน้อยเพื่อปรับรสชาติ
สรรพคุณ : บำรุงเลือดพลังพร่อง เวียนศีรษะ หอบหืด อ่อนเพลีย เป็นอาหารบำรุงฟื้นฟูสุขภาพที่ดีตำรับหนึ่ง
mor(2)-29-09-2014

WWF เผยประชากรสัตว์ของโลกลดลง “ครึ่งหนึ่ง” ภายในเวลา 40 ปี

       รอยเตอร์ – ประชากรสัตว์ของโลกไม่ว่าจะเป็นปลา นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน มีจำนวนลดลงถึงร้อยละ 52 ระหว่างปี 1970-2010 รวดเร็วเกินกว่าที่เคยคาดคิดกันไว้ กองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund – WWF) รายงานวันนี้ (30 ก.ย.)
       
       รายงาน Living Planet Report ซึ่งเผยแพร่ทุกๆ 2 ปี ระบุว่า มนุษย์ในปัจจุบันมีความต้องการบริโภคทรัพยากรเกินกว่าที่ธรรมชาติจะผลิตให้ได้ถึงร้อยละ 50 ป่าไม้ถูกตัดโค่น น้ำใต้ดินถูกสูบขึ้นไปใช้ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปลดปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศเร็วกว่าที่โลกจะฟื้นตัวได้ทัน
       
       “ความสูญเสียเหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่มนุษย์เราเลือกที่จะใช้ชีวิตกันแบบนี้” เคน นอร์ริส ผู้อำนวยการแผนกวิทยาศาสตร์จากสมาคมสัตววิทยาแห่งลอนดอน (Zoological Society of London) ระบุในถ้อยแถลง
       
       อย่างไรก็ดี รายงานชี้ว่าความหวังยังพอมีอยู่บ้าง หากนักการเมืองและภาคธุรกิจทั่วโลกร่วมใจกันปกปักรักษาธรรมชาติอย่างถูกต้องและจริงจัง
       
       “ในขณะที่ยังทำได้ เราควรฉวยโอกาสนี้พัฒนาสิ่งต่างๆ อย่างยั่งยืน และสร้างอนาคตที่มนุษย์จะสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างรุ่งเรืองและสอดคล้องกับธรรมชาติ” มาร์โก ลัมแบร์ตินี เลขาธิการใหญ่นานาชาติของ WWF ระบุ พร้อมอธิบายว่า การอนุรักษ์ธรรมชาติไม่ใช่แค่การปกป้องผืนป่า แต่เป็นการปกป้องอนาคตของมนุษยชาติเอาไว้ด้วย
       
       รายงานในส่วนของประชากรสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังพบว่า สัตว์กลุ่มนี้ลดลงมากที่สุดในประเทศเขตร้อน โดยเฉพาะแถบละตินอเมริกา
       
       ดัชนี Living Planet Index ของ WWF เป็นการสรุปแนวโน้มการเพิ่มขึ้นและลดลงของประชากรสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และปลา มากกว่า 3,038 ชนิด
       
       WWF ชี้ว่า อัตราการลดลงของประชากรสัตว์ถึงร้อยละ 52 นั้นสูงกว่าที่เคยรายงานไว้มาก ส่วนหนึ่งเพราะงานวิจัยชิ้นก่อนๆ อ้างอิงข้อมูลจากภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรปเป็นหลัก โดยเมื่อ 2 ปีที่แล้ว รายงานฉบับเดียวกันนี้อ้างการลดลงของประชากรสัตว์เพียงร้อยละ 28 ระหว่างปี 1970-2008
       
       สัตว์ที่จำนวนประชากรลดลงมากที่สุดได้แก่ ปลาน้ำจืด ซึ่งลดลงถึงร้อยละ 76 ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ขณะที่สัตว์ทะเลและสัตว์บกลดลงประมาณร้อยละ 39
       
       สาเหตุสำคัญที่ทำให้จำนวนสัตว์เหล่านี้ลดลงคือ การสูญเสียที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ การล่าของมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
       
       รายงานฉบับนี้ยังวัดค่า “รอยเท้านิเวศ” (ecological footprint) ซึ่งหมายถึงผลกระทบที่แต่ละประเทศมีต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึง “ความสามารถทางชีวภาพ” (biocapacity) ซึ่งก็พบว่า คูเวตมีรอยเท้านิเวศใหญ่โตที่สุด หมายความว่าชาวคูเวตใช้ทรัพยากรและทิ้งของเสียมากที่สุดในโลกเมื่อเทียบต่อหัวประชากร รองลงมาได้แก่ กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
       
       “หากประชากรทั่วโลกมีค่ารอยเท้านิเวศเท่าชาวคูเวต เราจะต้องมีโลกถึง 4.8 ใบจึงจะเพียงพอต่อความต้องการ และหากเราใช้ชีวิตแบบชาวอเมริกันกันหมดทุกคน เราก็จะต้องการโลก 3.9 ใบ” รายงานของ WWF เผย
       
       ประเทศที่ยากจนกว่า เช่น อินเดีย, อินโดนีเซีย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก มีค่ารอยเท้านิเวศอยู่ในระดับที่โลกยังสามารถรองรับได้ 

ผู้จัดการ

ศาล รธน.สเปนมีมติเอกฉันท์ให้ “ระงับ” ลงประชามติแยกประเทศใน “คาตาโลเนีย”

       เอเอฟพี – ศาลรัฐธรรมนูญสเปนวานนี้ (29 ก.ย.) มีคำสั่งให้ระงับการลงประชามติประกาศเอกราช ที่ชาวแคว้นคาตาโลเนียกำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้เป็นการชั่วคราว แม้ว่าบรรดาผู้นำของแคว้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนืออันร่ำรวยแห่งนี้ต่างให้คำมั่นว่า จะเดินหน้าเตรียมการลงประชามติตามกำหนดการเดิมก็ตาม
       คณะผู้พิพากษา 12 คนได้มีมติเป็นเอกฉันท์ตามคาด ภายหลังไม่กี่ชั่วโมงก่อนรัฐบาลกลางแดนกระทิงดุขอให้ศาลประกาศว่า การลงประชามติประกาศเอกราชในคาตาโลเนียนั้นเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ด้วยเหตุที่ว่าเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสเปน
       
       ศาลระบุในคำตัดสินว่า ยังเปิดทางให้อุทธรณ์คำสั่งได้ และได้สั่งระงับการลงประชามติชั่วคราว ขณะที่ศาลรับฟังข้อโต้แย้งของรัฐบาลกลาง และจะใช้เวลามากสุด 5 เดือน ก่อนประกาศคำพิพากษา แม้ว่าอาจมีการขยายเวลาในการพิจารณาออกไปอีก
       
       อาร์ตู มัส หัวหน้ารัฐบาลท้องถิ่นแคว้นคาตาโลเนียกล่าวว่า ได้ลงนามรับรองบัญญัติฉบับหนึ่งเมื่อวันเสาร์ (27) เพื่อจัดการลงประชามติ
       
       ตั้งแต่นั้นมา นาฬิกา ณ จัตุรัสเซนต์เจมส์ ในนครบาร์เซโลนาก็นับถอยหลังเข้าสู่วันที่ 9 พฤศจิกายน โดยสถานีวิทยุและโทรทัศน์ในแคว้นนี้พากันประโคมข่าวให้สาธารณชนออกไปลงประชามติ
       
       ทางด้าน มาริอาโน ราฮอย นายกรัฐมนตรีสังกัดพรรคอนุรักษนิยมของสเปน กล่าวว่า เขารู้สึกเสียใจ “อย่างสุดซึ้ง” ที่มัสออกมาเคลื่อนไหวเช่นนี้ พร้อมทั้งระบุว่า การประกาศเอกราชเป็นการ “แบ่งแยกชาวคาตาลัน ทำให้พวกเขาแปลกแยกจากยุโรป และสเปน ตลอดจนส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสวัสดิการของพวกเขา” 
       ในการแถลงกับประชาชนผ่านทางโทรทัศน์ ภายหลังเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีฉุกเฉิน ราฮอยกล่าวว่า สิทธิในการตัดสินใจเพื่อกำหนดสถานะของแคว้นคาตาโลเนียเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ.1978 ของ “ประชาชนชาวสเปนทุกคน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตยในสเปน ซึ่งประกาศใช้หลังการเสียชีวิตของผู้นำเผด็จการ ฟรังซิสโก ฟรังโก
       
       เขากล่าวเสริมว่า “ไม่มีใคร และผู้ใด อำนาจใด หรือสถาบันใดจะสามารถทำลายหลักการอำนาจอธิปไตยหนึ่งเดียวนี้ได้”
       
       มัส ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากการชุมนุมตามท้องถนน ได้ผลักดันให้มีการจัดการลงประชามติต่อไป โดยไม่สนใจคำเตือนของราฮอย
       
       มัส กล่าวในการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์เมื่อวันอาทิตย์ (28) “คุณไม่สามารถใช้กฎหมายโดยไร้ขอบเขต เพื่อขัดขวางไม่ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นได้”
       
       “การลงประชามติในเดือนพฤศจิกายนนี้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย เพราะจะเปิดทางให้เราและรัฐบาลสเปนรู้ว่าประชาชนชาวคาตาโลเนียคิดเห็นกันอย่างไร” 
ผู้จัดการ

ฝรั่งเศส “หนี้ท่วมหัว” เกิน €2 ล้านล้านในไตรมาสสอง

     เอเอฟพี – หนี้สาธารณะของฝรั่งเศสพุ่งสูงเกิน 2 ล้านล้านยูโรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อช่วงไตรมาสสองที่ผ่านมา ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ INSEE ระบุวันนี้(30)
       
       มูลค่าหนี้สาธารณะที่ฝรั่งเศสต้องแบกรับอยู่ที่ 2.023 ล้านล้านยูโร หรือคิดเป็นสัดส่วน 95.1 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในขณะที่สหภาพยุโรป (อียู) ตั้งกฎเกณฑ์ให้ชาติสมาชิกต้องควบคุมระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่เกิน 60 %
       
       สำนักงาน INSEE ระบุว่า ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ หนี้สาธารณะอยู่ที่ราวๆ 1.995 ล้านล้านยูโร หรือเท่ากับ 94% ของจีดีพีฝรั่งเศส
       รัฐบาลฝรั่งเศสถูกอียูไล่บี้ให้เร่งแก้ไขภาวะขาดดุลงบประมาณที่ไม่ควรสูงเกิน 3% ของจีดีพี ซึ่งปารีสก็เคยให้สัญญาว่า จะลดยอดขาดดุลงบประมาณลงให้เหลือไม่ถึง 3% ของจีดีพีภายในปี 2015 แต่เมื่อต้นเดือนกันยายนนี้ มิเชล ซาแปง รัฐมนตรีคลังฝรั่งเศส กลับสร้างความตกตะลึงด้วยการเลื่อนกรอบเวลาบรรลุเป้าหมายดังกล่าวไปจนถึงปี 2017
       
       ฝรั่งเศสเผชิญทั้งปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซาและจำนวนคนว่างงานที่ยังพุ่งสูงลิ่ว อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจตลอด 2 ไตรมาสที่ผ่านมายังอยู่ในระดับ “ศูนย์” ขณะที่รัฐมนตรี ซาแปง เผยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจฝรั่งเศสปีนี้จะโตได้แค่ราวๆ 0.4%
       
       ฝรั่งเศสเตรียมแถลงแผนงบประมาณรายจ่ายประจำปีในวันพรุ่งนี้(1) ซึ่งผู้สังเกตการณ์คาดว่าน่าจะเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงแนวโน้มที่ไม่สดใส และความแน่นอนที่ว่าปารีสจะไม่สามารถลดยอดขาดดุลงบประมาณให้เหลือต่ำกว่า 3% ของจีดีพีภายในปีหน้าได้

ผู้จัดการ

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

ผู้เชี่ยวชาญชี้ “ภูเขาไฟออนทาเกะ” ปะทุแบบ “ไร้สัญญาณเตือน-ไม่มีทางป้องกันทัน”

       เอเอฟพี – การปะทุอย่างกะทันหันและไร้สัญญาณเตือนของภูเขาไฟออนทาเกะในภาคกลางของญี่ปุ่นเป็นปรากฏการณ์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงทำให้หน่วยงานท้องถิ่นไม่สามารถป้องกันเหตุล่วงหน้าได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟจากฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้(28)
       
       หลังจากสงบนิ่งมานานเกือบ 35 ปี ภูเขาไฟออนทาเกะความสูง 3,067 เมตรได้ตื่นจากความหลับใหลเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา(27) และปลดปล่อยเถ้าถ่าน ไอน้ำ และหินร้อนลงสู่ลาดเขา ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมของบรรดานักปีนเขา
       
       ฌาคส์-มารี บาร์แดงต์เซฟฟ์ นักภูเขาไฟวิทยาจากมหาวิทยาลัย Paris-Sud Orsay และมหาวิทยาลัย Cergy-Pontoise ระบุว่า การปะทุในลักษณะนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย
       
       “โดยทั่วไปแล้ว หากภูเขาไฟกลับมามีพลังอีกครั้งภายในระยะเวลา 30-40 ปี ซึ่งถือว่าสั้นมาก จะต้องมีสัญญาณเตือนอย่างต่ำ 24-72 ชั่วโมง จะมีการเคลื่อนตัวของแมกมา แผ่นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย และอุณหภูมิเปลี่ยนแปลง” บาร์แดงต์เซฟฟ์ ระบุ พร้อมชี้ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวเพียงพอที่ทางการจะประกาศอพยพประชาชน หรือสั่งห้ามเข้าไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยง
       
       อย่างไรก็ดี การปะทุที่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าแค่ไม่กี่นาทีเช่นนี้ ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
       
       การปะทุของภูเขาไฟออนทาเกะซึ่งคร่าชีวิตนักปีนเขาไปแล้วกว่า 30 ราย ไม่เพียงปัจจุบันทันด่วน แต่ยังมีอันตรายสูงมาก เนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนอย่างคับคั่ง
       
       ภูเขาไฟลูกนี้เป็นที่รู้จักกว้างขวางในหมู่นักปีนเขา ซึ่งนิยมมาเที่ยวกันในช่วงปลายเดือนกันยายนเพื่อชมความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง
       
       “ด้วยปัจจัยต่างๆ รวมกัน การปะทุครั้งนี้จึงกลายเป็นหายนะ” บาร์แดงต์เซฟฟ์ กล่าว พร้อมชี้ว่ายังพอจะมีคำอธิบายอื่นๆ อีกสำหรับการปะทุแบบไร้สัญญาณล่วงหน้าเช่นนี้
       
       “ธารแมกมาอาจจะแทรกมาตามรอยแตกของหิน และพุ่งขึ้นในคราวเดียว ซึ่งพบน้อยมาก”
       “บนภูเขาไฟส่วนใหญ่จะมีน้ำขังอยู่ เมื่อแมกมาเคลื่อนตัวสู่ผิวโลกพร้อมกับคลื่นความร้อนมหาศาล น้ำเหล่านั้นจะระเหยเป็นไออย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดแรงดันสูงคล้ายหม้อแรงดันไอน้ำ” ผู้เชี่ยวชาญภูเขาไฟจากเมืองน้ำหอม อธิบาย
       
       “หากแรงดันนั้นมากเกินกว่าที่พื้นดินเบื้องบนจะต้านทานไหว หินจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หรือที่เรียกว่า ระเบิดกรวดภูเขาไฟ (cinder bomb)” ซึ่งการปะทุลักษณะนี้อันตรายมากเป็นพิเศษ เพราะเกิดขึ้นชั่วพริบตาโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เลย
       
       บาร์แดงต์เซฟฟ์ ยอมรับว่า หากยังไม่มีอุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ซับซ้อนกว่าในปัจจุบัน “เราก็คงป้องกันอะไรไม่ได้” ในสถานการณ์เช่นนี้
       
       ล่าสุด ยังไม่มีข้อสันนิษฐานใดได้รับการยืนยันว่าเป็นสาเหตุการปะทุของภูเขาไฟออนทาเกะ
       
       บาร์แดงต์เซฟฟ์ ระบุว่า ออนทาเกะ เป็นภูเขาไฟที่ “คลาสสิก” แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
       
       “ญี่ปุ่นเป็นดินแดนของภูเขาไฟและมีธรณีพลศาสตร์ที่ซับซ้อน ภูเขาไฟแต่ละลูกจะสลับกันปะทุไปเรื่อยๆ” เขากล่าว พร้อมอธิบายต่อว่า ภูเขาไฟเหล่านี้เสี่ยงต่อการระเบิดโดยธรรมชาติ และเถ้าถ่านที่ลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าราว 11 กิโลเมตร ก็ถือเป็นมาตรฐานปกติ
       
       “แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดาก็คือ การปะทุที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย” เขากล่าวทิ้งท้าย
ผู้จัดการ

สหรัฐฯ ยอมรับประเมินพิษสง “ไอเอส” ต่ำเกินไป

      เอเอฟพี – ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ยอมรับผ่านสื่อเป็นครั้งแรกวานนี้ (28 ก.ย.) ว่า รัฐบาลของเขาประเมินพิษสงของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ต่ำเกินไป และไม่คาดคิดว่าการล่มสลายของซีเรียอาจกลายเป็นโอกาสให้นักรบญิฮาดหัวรุนแรงรวมกลุ่ม และผงาดขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว
       
       ในการให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวซีบีเอส โอบามาระบุว่า นักรบอัลกออิดะห์ที่เคยถูกสหรัฐฯและกองกำลังท้องถิ่นขับไล่ออกจากอิรักได้ใช้ซีเรียเป็นแหล่งซ่องสุม และจัดตั้งกลุ่มก่อการร้ายไอเอสที่เป็นภัยคุกคามอย่างร้ายกาจขึ้นมา
       
       กลุ่มพันธมิตรชาติอาหรับและยุโรปที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำได้เริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายไอเอสทั้งในอิรักและซีเรีย ซึ่งโอบามาชี้ว่าจะเป็น “กราวนด์ซีโรสำหรับนักรบญิฮาดทั่วโลก”
       
       “ผมเชื่อว่า เจมส์ แคลปเปอร์ ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ก็ออกมายอมรับแล้วว่าพวกเขาประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในซีเรียต่ำเกินไป”
       
       เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วอชิงตันยังประเมินศักยภาพหรือความเต็มใจของกองกำลังอิรักที่จะต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธด้วยตัวของพวกเขาเองด้วยหรือไม่ ผู้นำสหรัฐฯ ก็ยอมรับว่า “จริง จริงทีเดียว”
       
       ระหว่างให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ซึ่งบันทึกเทปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (26) โอบามาระบุว่า หน่วยโฆษณาชวนเชื่อของไอเอสหันมาใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือล่อลวงประชาชน “ซึ่งหลงเชื่ออุดมการณ์ไร้สาระของพวกเขา” ทั้งจากยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย รวมถึงประเทศมุสลิมอื่นๆ
       
       ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชี้ว่า การจะหาทางออกที่ยั่งยืนได้นั้น รัฐบาลอิรักและซีเรียต้องเร่งแก้ไขวิกฤตการเมืองในประเทศตนเองด้วย ซึ่งทั้งสองประเทศตลอดจนประเทศอื่นๆในภูมิภาคตะวันออกกลางอาจจะต้อง “ปรับเปลี่ยนมุมมองที่พวกเขามีต่อคำว่า การเมืองเชิงสมานฉันท์ (political accommodation) เสียใหม่”
       
       โอบามาชี้ว่า บางประเทศแถบนั้น “ได้สร้างบรรยากาศที่ทำให้คนหนุ่มสาวมัวแต่ครุ่นคิดว่าพวกเขาเป็นมุสลิมสุหนี่หรือชีอะห์ แทนที่จะกังวลว่าพวกเขาได้รับการศึกษาที่ดีแล้วหรือไม่ และมีโอกาสที่จะได้งานดีๆ หรือเปล่า”
       
       เขากล่าวเสริมอีกว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ในอิรักช่วยป้องกันไม่ให้ไอเอสสามารถเข้าถึงจุดยุทธศาสตร์และทรัพยากรที่จำเป็น
       
       “เรากำลังช่วยเหลืออิรักให้สามารถทำสงครามอย่างแท้จริงบนแผ่นดินของพวกเขา ด้วยกองกำลังของพวกเขาเอง… สหรัฐฯ ต้องทำเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของเรา เพราะเครือข่ายไอเอสนั้นไม่ใช่แค่กลุ่มก่อการร้ายธรรมดา แต่ยังมีความทะเยอทะยานอยากได้ดินแดน และรู้จักใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของกองทัพด้วย”
       
       “นี่ไม่ใช่สงครามระหว่างอเมริกากับไอเอส แต่อเมริกากำลังแสดงบทบาทผู้นำประชาคมโลกช่วยเหลือประเทศหนึ่งที่เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ของเรา เพื่อให้มั่นใจว่า พวกเขาจะสามารถดูแลกิจการภายในประเทศตนเองได้”
       
       นับตั้งแต่สหรัฐฯ ถอนทหารออกไปในปี 2011 สังคมอิรักก็กลับสู่ความแตกแยกระส่ำระสายเนื่องจากรัฐบาลชีอะห์ของอดีตนายกฯ นูรี อัล-มาลิกี ใช้นโยบายแบ่งแยกกีดกันมุสลิมสุหนี่ ในขณะที่ซีเรียก็ต้องเผชิญสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2011 เช่นกัน

ผู้จัดการ

วิกฤตยูเครนทำพิษ! ศก.เยอรมนีส่อเค้าเติบโตได้ต่ำกว่าเป้า

        เอเจนซีส์ – เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการเยอรมนีเผยในวันอาทิตย์ (28 ก.ย.) ระบุ เศรษฐกิจของประเทศในปี 2014 นี้ ส่อเค้าอาจเติบโตได้ต่ำกว่าเป้า 1.8 เปอร์เซ็นต์ที่รัฐบาลเยอรมนีคาดการณ์ไว้
       
       ซิกมาร์ กาเบรียล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกิจการทางเศรษฐกิจและพลังงานของเยอรมนี เปิดเผยผ่านสถานีวิทยุ “ดอยต์ชลันด์ฟุงก์” ในวันอาทิตย์ (28) โดยยอมรับเป็นครั้งแรกว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนีในปีนี้ส่อเค้าว่าอาจมีการขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายที่ 1.8 เปอร์เซ็นต์ซึ่งเป็นระดับที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหญิง อังเกลา แมร์เคิล เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
       
       รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกิจการทางเศรษฐกิจและพลังงานของเยอรมนีระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจเยอรมนีไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เป็นเพราะ “วิกฤตในยูเครน” ที่ทำลายบรรยากาศด้านการลงทุนในยุโรปไปจนหมดสิ้น และวิกฤตดังกล่าวซึ่งก่อให้เกิดการเผชิญหน้าอย่างเลวร้ายที่สุด ระหว่างโลกตะวันตกและรัสเซียนับแต่ยุคสงครามเย็น และส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไม่เพียงแต่บริษัทที่มีการค้าขายโดยตรงกับรัสเซียเท่านั้น
       
       อย่างไรก็ดี กาเบรียลเผยว่า แม้เศรษฐกิจของเยอรมนีในปี 2014 นี้ อาจเติบโตได้ต่ำกว่าเป้าหมาย แต่เศรษฐกิจโดยรวมของเยอรมนียังคงแข็งแกร่งและมีแนวโน้มการเติบโตดีกว่าเศรษฐกิจของหลายประเทศในยุโรป
       
       ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนเมษายน นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคล ประกาศตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ที่ 1.8 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ถึงแม้จะมีข้อมูลที่ระบุว่าอัตราการเติบโตของจีดีพีในเยอรมนีมีการหดตัว 0.2 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ และอาจฉุดรั้งการเติบโตของทั้งปี 2014 ให้ลดต่ำลง
       
       ความเคลื่อนไหวล่าสุดของทางการเยอรมนีมีขึ้นในจังหวะเวลาเดียวกับที่มีการเผยแพร่ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประชาชนชาวเยอรมันในเดือนกันยายน ซึ่งได้ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน

ผู้จัดการ

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2557

ตำนานเรื่องของก๋วยเตี่ยว

ก๋วยเตี๋ยว เป็นอาหารชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นเส้นยาว ทำมาจากแป้งข้าวเจ้าเป็นส่วนใหญ่ โดยมากจะลวกให้สุกในน้ำเดือด สะเด็ดน้ำ แล้วนำมาใส่เครื่องปรุงชนิดต่างๆ นิยมรับประทานทั้งแบบน้ำและแบบแห้ง นิยมใช้ตะเกียบเป็นเครื่องมือช่วยรับประทานคำว่า “ก๋วยเตี๋ยว” อาจจะมาจากภาษาจีนฮกเกี้ยนหรือภาษาจีนแต้จิ๋ว[ข้าวที่เป็น]เส้น  ภาษาจีนแต้จิ๋วได้รับอิทธิพลมาจากภาษาจีนฮกเกี้ยนอย่างมาก จึงทำให้ไม่ทราบสำเนียงที่มาที่แน่ชัด
การนำเข้าสู่ประเทศไทย
สันนิษฐานกันว่าก๋วยเตี๋ยวในประเทศไทยมีมาเมื่อประมาณสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นช่วงที่ไทยมีการติดต่อกับชาวต่างชาติมากมาย และชาวจีนก็ได้นำเอาก๋วยเตี๋ยวเข้ามากินกันในเรือ โดยต้มในน้ำซุป มีการใส่หมู ใส่ผักและเครื่องปรุงเพื่อความอร่อย แต่สำหรับคนไทยแล้วถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ในยุคนั้น และได้นำมาประกอบเป็นอาหารอื่นๆ บริโภคกันจนมีความเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี และเริ่มมีการทำเส้นก๋วยเตี๋ยวในประเทศไทย
ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายรัฐนิยมที่สนับสนุนให้ประชาชนบริโภคก๋วยเตี๋ยว ซึ่งจอมพล ป. เห็นว่าหากประชาชนหันมาร่วมกันบริโภคก๋วยเตี๋ยว จะเป็นการช่วยเหลือเศรษฐกิจของชาติในตอนนั้น เพื่อให้เงินหมุนเวียนในประเทศ
เส้นทางของก๋วยเตี๋ยว
ก๋วยเตี๋ยวเกิดขึ้นเมื่อใด ไม่ปรากฏ แต่ในประเทศจีนสมัย กุบไรขาน (พ.ศ.1822-1837) มาโค โปโล เดินทางจากอิตาลีโดยเส้นทางสายไหมสู่เมืองจีน มาโคโปโลกล่าวถึงกองเรือสินค้าที่มากมายของจีน และสิ่งมีค่ามหาศาลสองสิ่ง คือ  ดินปืนและบะหมี่ จึงเป็นเหตุให้แนวความคิดของคนในโลกเข้าใจถึงกำเนิดและที่มาของเส้นสปาเกตตี ว่าเกิดมาได้อย่างไร
ส่วนในเมืองไทยมีการค้าขายกับชนชาติจีนมาแต่ยุคสุโขทัยเช่นเครื่องสังคโลกโดยการค้าทางเรือแต่ก็ไม่ปรากฏการกล่าวถึงก๋วยเตี๋ยว จนมาในสมัยอยุธยา ถ้าจะกล่าวถึงยุคทองแห่งอาหารก็น่าจะเป็นสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ.2199-2231) ซึ่งมีการเปิดการค้ากับอารยะประเทศ อาหารสารพัดชนิดไหลเข้ามาในเมืองไทยและก็มีการดัดแปลงให้เข้ากับท้องถิ่นและวัสดุในท้องที่ที่มี ชาวจีนที่มาค้าขายก็นำก๋วยเตี๋ยวมาทำกินกันและก็แบ่งให้ผู้ร่วมค้ากิน  ก็เป็นของใหม่และแปลกสิ่งสำคัญก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารจานเดี่ยว ก็แค่ลวกเส้นใส่หมูเติมน้ำซุปก็กินได้แล้ว
ก๋วยเตี๋ยวในปัจจุบันช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดก็จะเป็นในสมัยของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในปีพ.ศ. 2485 เกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ การถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้าในเดือนตุลาคมก็ยังต้องใช้เรือพายไป ส่วนในทำเนียบรัฐบาลการประชุมคณะรัฐมนตรีจึงต้องจ้างก๋วยเตี๋ยวเรือเข้าไปเลี้ยงคณะรัฐมนตรีที่มาเข้าร่วมประชุม ผู้นำประเทศชมอร่อยจึงมีนโยบายส่งเสริมให้คนไทยกินก๋วยเตี๋ยว และให้มีการขายก๋วยเตี๋ยวให้มาก เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำและวัฒนธรรมสร้างชาติ หน่วยงานราชการทุกกรมกองข้าราชการส่วนใหญ่ต้องหันมาขายก๋วยเตี๋ยวเพื่อสนองนโยบาลของรัฐบาล ก็หน้าจะเรียกได้ว่าเป็น ยุคทองของก๋วยเตี๋ยว
ในปัจจุบันก๋วยเตี๋ยวมีการพัฒนาหลากหลายในแต่ละถิ่นแต่ละภาคเช่นก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยาก็จะจำกัดความว่า สูตรโบราณ ก๋วยเตี๋ยวหมูใส่กุ้งแห้ง (แต่ก่อนไม่มีผงชูรสกุ้งแห้งก็คือเครื่องชูรสทำให้น้ำหวานน่าจะมีสารที่ไปกระตุ้นต่อมน้ำลาย) จนมาเป็นก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย แต่จะกล่าวกันว่าคนเมืองสุโขทัยแต่โบราณก็จะเรียกว่า “ก๋วยเตี๋ยวไทย”แต่คนต่างถิ่นโดยทั่วไปก็จะเรียกเต็มยศว่า ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย ส่วนที่ต่างจากถิ่นอื่นก็คือการปรุงด้วยน้ำมะนาวถั่วลิสงป่นและถั่วฝักยาวเป็นสูตรหลัก ซึ่งก็คล้ายกับก๋วยเตี๋ยวของเมืองกำแพงเพชรที่เรียกว่า “ก๋วยเตี๋ยวชากังราว” เพียงต่างกันที่สุโขทัยใส่หมูแดงเพิ่มเข้าไป  และก๋วยเตี๋ยวชากังราวปรุงรสด้วยหัวไช้โปกับกุ้งแห้ง  และในลักษณะที่คล้ายกันก็จะมีที่เมืองใต้  พบที่เมืองนครศรีธรรมราช  ก็จะใช้หมูสามชั้นต้มหั่นใส่แทนหมูแดง  แต่จะเปลี่ยนจากถั่วฝักยาวมาเป็นผักบุ้งแทน  คล้ายก๋วยเตี๋ยวอยุธยาที่ใส่ผักบุ้ง  และก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิตเมืองปทุมธานีก็จะเหมือนของอยุธยาเช่นกัน
ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยมีมาแต่โบราณในชื่อ “ก๋วยเตี๋ยวผัด” มาถึงในสมัยนายกรัฐมนตรีจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีนโยบายนำประเทศเข้าสู่อารยะธรรมสมัยใหม่ วันที่ 22 เดือนมิถุนายน  พ.ศ.2482 จึงเปลี่ยนชื่อประเทศสยาม มาเป็นประเทศไทย และท่านชอบกินก๋วยเตี๋ยวผัดอยู่แล้ว จึงเสนอให้ใช้คำใหม่ว่า“ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย”ตามชื่อใหม่ของประเทศ ความต่างของก๋วยเตี๋ยวผัดไทย สูตรสุโขทัย ก็คือการนำเครื่องปรุงของก๋วยเตี๋ยวน้ำมาใช้ใส่ไข่และน้ำส้มสายชูมาปรุงรส ส่วนในภาคอื่นอาจใช้น้ำมะขามเปียก ซอสพริก หรือซอสมะเขือเทศหรืออย่างก๋วยเตี๋ยวเส้นจันทร์ แล้วแต่ถิ่นฐานความชอบ
เย็นตาโฟหรือก๋วยเตี๋ยวซอสแดงหน้าจะมาจากคำจีนว่า “แยงเต้าฟู่”  คำว่า แยง หมายถึงลักษณะการปรุงอาหารคล้ายยำ คำว่า เต้าฟู่ หมายถึงเต้าหู้ รวมความแล้วก็คือ ยำเต้าหู้ ฉะนั้นเย็นตาโฟก็น่าจะหมายถึงก๋วยเตี๋ยวต้มยำ โดยมีเต้าหู้และผักบุ้งใส่ซอสให้มีรส 4 รส  คือ เปรี้ยว หวาน  เค็ม เผ็ด
ชนิดของเส้นก๋วยเตี๋ยว
เส้นหมี่ หรือภาษาท้องถิ่นบางที่เรียก “หมี่ขาว” หรือ “เส้นหมี่ขาว” เพื่อป้องกันการสับสนระหว่างบะหมี่ ทำมาจากแป้งข้าวเจ้า เป็นเส้นเรียวเล็ก ยาว มักใช้เครื่องจักรผลิต ก่อนนำมาทำอาหาร ต้องนำไปแช่น้ำเสียก่อน
เส้นเล็ก ลักษณะกว้างกว่าเส้นหมี่ และตัดเป็นท่อนๆ เพื่อความง่ายในการรับประทาน เมื่อลวกเสร็จแล้วจะเหนียวกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวอื่นๆ มักจะใช้นำไปทำผัดไทย ก๋วยเตี๋ยวเรือ ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก
เส้นใหญ่ มีขนาดความกว้างกว่าเส้นเล็ก ประมาณ 3-4 เท่าตัว เมื่อลวกเสร็จแล้วจะนิ่ม รับประทานง่าย มักนำไปทำก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ผัดซีอิ๊ว เย็นตาโฟ และราดหน้า
บะหมี่ ลักษณะเฉพาะตัวคือจะมีส่วนผสมของไข่จึงมีสีเหลือง ก่อนนำมาลวกจะต้องยีให้ก้อนบะหมี่คลายออก เพื่อไม่ให้เส้นติดกันเป็นก้อน ถ้าเป็นสีเขียว จะเรียกว่า “บะหมี่หยก” ซึ่งมีลักษณะเหมือนบะหมี่ธรรมดาทุกประการแต่จะใส่สีผสมอาหารให้เป็นสีเขียว มักจะนำไปใช้เป็นเส้นของ บะหมี่หมูแดง เย็นตาโฟ และบะหมี่เป็ด
กวยจั๊บ เส้นมีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมหรือสามเหลี่ยม เมื่อนำไปต้มในน้ำร้อนก็จะม้วนตัวเป็นหลอด
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
เกี๊ยมอี๋ ลักษณะคล้ายลอดช่อง มีสีขาว มักทำเป็นก๋วยเตี๋ยวเกี๊ยมอี๋
วุ้นเส้น เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากแป้งถั่วเขียว ลักษณะเด่นคือมีความใสคล้ายวุ้น
อาหารจำพวกก๋วยเตี๋ยวของชาติต่างๆ
อาหารจำพวกเส้นก๋วยเตี๋ยวนอกจากในอาหารไทยแล้ว ยังพบในอาหารของชาติอื่นอีก ดังนี้
- จีน ส่วนใหญ่เป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำก๋วยเตี๋ยวแห้ง มีหลายรูปแบบและหลายรสชาติตามภาคต่างๆของประเทศ
- ญี่ปุ่น อาหารที่ทำด้วยเส้นก๋วยเตี๋ยวของญี่ปุ่นมีหลายแบบ ได้แก่
โซบะ ลักษณะของเส้นใหญ่กว่าเส้นบะหมี่ธรรมดา ทำจากบักวีตผสมแป้งสาลี
ราเม็ง ทำจากแป้งสาลีผสมไข่ นิยมทำเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำ มีหลายแบบตามเครื่องที่ราดบนหน้า
อุด้ง ทำจากแป้งสาลีผสมเกลือและน้ำ ไม่ใส่ไข่
- เกาหลี มีเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น เส้นแนงเมียน ทำจากบักวีตผสมแป้งมันฝรั่ง ดาวเมียน ทำจากแป้งมันเทศ เป็นต้น
- เวียดนาม เรียกเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากแป้งข้าวเจ้าว่า เฝอ ส่วนเส้นที่ทำจากแป้งข้าวเจ้าหมักเคลือบด้วย แป้งมันสำปะหลังเรียก จ๋าว คนไทยเรียกจ๋าวว่าก๋วยจั๊บญวน
- ลาว พบทางชายแดนที่ติดกับจีน ซึ่งชาวไทลื้อและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ มีข้าวซอยแบบเดียวกับชาวไทใหญ่และชาวไทลื้อในจีน
- พม่า มีอาหารเส้นที่คล้ายข้าวซอยของทางภาคเหนือของไทย เรียกเข้าโซย ได้รับอิทธิพลจากชาวไทใหญ่
- ชาวมลายู ในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย มีอาหารเส้นเรียก หลักซา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก lakhsha ในภาษาเปอร์เซีย หลักซาในแต่ละถิ่นจะต่างกันไป เช่น หลักซาในรัฐกลันตันคล้ายขนมจีนน้ำยาของไทย ส่วนหลักซาปีนังใช้เส้นหมี่ขาว หลักซาเลอมักใช้เส้นที่คล้ายจ๋าวของเวียดนาม เป็นต้น
- ฟิลิปปินส์ เรียกอาหารเส้นว่าปันสิด ซึ่งได้รับอิทธิพลจากคนจีนที่เข้ามาค้าขายในฟิลิปปินส์ คำว่าปันสิด มาจาก pan it sit ในภาษาจีนฮกเกี้ยน
- อิตาลี อาหารเส้นที่มีชื่อเสียงคือพาสตา อาจจะมาจากขนมปังสมัยกรีก-โรมันหรือจาก lakhsha ของชาวอาหรับ พาสตาของอิตาลีมีหลายแบบ แบบหนึ่งที่เป็นที่รู้จักทั่วไปคือมะกะโรนี
ชนิดของอาหารที่ใช้เส้นก๋วยเตี๋ยว
มีมากมายดังนี้
- ก๋วยเตี๋ยวหมู ไก่ เป็ด เนื้อ ปลา
- เย็นตาโฟ
- ก๋วยเตี๋ยวเรือ หรือก๋วยเตี๋ยวน้ำตก
- ก๋วยเตี๋ยวคั่ว
- ผัดซีอิ๊ว
- ก๋วยจั๊บ
- บะหมี่หมูแดง หรือบะหมี่เกี๊ยวหมูแดง
- ผัดไทย หรือ ผัดไท
- ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย หรือ ก๋วยเตี๋ยวชากังราว
- ราดหน้า
nud(1)-28-09-2014ขอบคุณภาพจาก FoodTravelTV

กลุ่ม IS ส่งรถบรรเทาทุกข์ “ซุกระเบิด” – ระดมยิงกองกำลังเคิร์ดในซีเรียตาย 40 ชีวิต

       รอยเตอร์ – แม้ว่ากลุ่มชาติพันธมิตรภายใต้การนำของสหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีกลุ่มนักรบญิฮาด “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) ระลอกใหม่ แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งกลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ไม่ให้ก่อเหตุระดมยิงในเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของซีเรีย บริเวณใกล้พรมแดนตุรกีเป็นหนแรกในวันเสาร์ (27 ก.ย.)
        กองบัญชาการกลางสหรัฐฯ (เซ็นเตอร์คอม) ระบุว่า การโจมตีทางอากาศสามารถทำลายอาคารหลังหนึ่งของไอเอส และยานพาหนะติดอาวุธสองคันใกล้เมืองโคบานี ซึ่งถูกกลุ่มติดอาวุธปิดล้อมในช่วง 10 วันที่ผ่านมา
       
       เซ็นเตอร์คอม ระบุจากฐานทัพอากาศแห่งหนึ่งว่า ป้อมรักษาการณ์ และค่ายซ้อมรบซึ่งอยู่ใกล้เมืองรักกา ซึ่งเป็นเป็นฐานที่มั่นของไอเอสนั้นคืหนึ่งในเป้าโจมตี ระหว่างที่สหรัฐฯ ซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ใช้เครื่องบินขับไล่ และอากาศยานควบคุมจากระยะไกลโจมตีทางอากาศ 7 ระลอก
       
       เซ็นเตอร์คอม ระบุว่า การโจมตีทางอากาศ 3 ระลอกในอิรักได้ทำลายยานพาหนะติดอาวุธ 4 คันและ “ฐานสู้รบ” ของไอเอสทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองอาร์บิล ด้านกระทรวงกลาโหมอังกฤษแถลงว่า ได้ส่งเครื่องบินขับไล่สองลำบินเหนือน่านฟ้าอิรัก หนึ่งวันหลังรัฐสภาอังกฤษไฟเขียวให้ทิ้งระเบิดโจมตีกลุ่มติดอาวุธไอเอสในอิรัก ในขณะที่มุ่งเน้นการรวบรวมข่าวกรองมากกว่าโจมตีทางอากาศ
       
       นับตั้งแต่เข้ายึดครองดินแดนอันกว้างใหญ่ทั้งในซีเรียและอิรัก กลุ่มรัฐอิสลามก็ประกาศสถาปนาการปกครองแบบ “กาหลิบอิสลาม” ฆ่าตัดคอตัวประกันชาวตะวันตก และสั่งให้ชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ และผู้ที่นับถือศาสนาอื่นเลือกระหว่างรับศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่ หรือจะยอมถูกสังหาร จนกระตุ้นให้ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ สั่งการให้กองกำลังสหรัฐฯ กลับไปปฏิบัติภารกิจในอิรักอีกครั้ง หลังถอนกำลังทหารออกมาเมื่อปี 2011 และขยายวงโจมตีทางอากาศเข้าสู่น่านฟ้าซีเรียเป็นครั้งแรก
       
       นับตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา กองทัพสหรัฐฯ ได้เปิดฉากปฏิบัติการโจมตีกลุ่มติดอาวุธในอิรัก และขยายขอบเขตเข้าซีเรียเมื่อต้นสัปดาห์ โดยได้รับการสนับสนุนจากเหล่าชาติพันธมิตรอาหรับในปฏิบัติการที่มุ่งระงับการก่อเหตุจู่โจม และทำลายกลุ่มติดอาวุธ นับตั้งแต่เมื่อวันอังคาร (24)
       
       กลุ่มติดอาวุธที่มีความเชื่อมโยงกับอัลกออิดะห์ในซีเรีย ซึ่งเสียนักรบหลายสิบคน ไประหว่างการโจมตีวันแรกที่ซีเรีย ได้ออกมากล่าวหาว่า วอชิงตันและชาติพันธมิตรกำลังประกาศ “สงครามกับศาสนาอิสลาม” และขู่ว่า พลเมืองของชาติเหล่านี้จะต้องตกเป็นเป้าเล่นงานของนักรบญิฮาดทั่วโลก
       
       องค์การเฝ้าระวังด้านสิทธิมนุษยชน “ซีเรียน ออบเซอร์วาทอรี ฟอร์ ฮิวแมนไรต์ส” ซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนกบฏที่เป็นปฏปักษ์กับประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรียกล่าวว่า มีการทิ้งระเบิดโจมตีเมืองรักกาถึง 30 จุดเมื่อวันเสาร์ (27)
       
       รามี อับดุลเราะห์มาน ซึ่งเป็นผู้บริหารองค์การเฝ้าระวัง ที่มีสำนักงานใหญ่ในอังกฤษแห่งนี้กล่าวว่า มีนักรบของกลุ่มรัฐอิสลามถูกสังหารไปแล้ว 23 คน เขากล่าววา ส่วนใหญ่เสียชีวิตในเหตุโจมตีท่าอากาศยานแห่งหนึ่ง 
       อย่างไรก็ตาม องค์การเฝ้าระวังแห่งนี้ กล่าวว่า ไอเอสยังสามารถระดมยิงในพื้นที่บางส่วนของเมืองโคบานี จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน โดยในช่วงห้าวันที่ผ่านมา ที่ไอเอสกำลังต่อสู้ยึดเมืองนี้ นักรบญิฮาดกลุ่มนี้ได้สังหารกองกำลังติดอาวุธชาวเคิร์ดไปถึง 40 คน รวมถึง ในจำนวนนี้มีบางส่วนเสียชีวิต หลังมือระเบิดฆ่าตัวตายขับรถที่ถูกอำพรางว่าเป็นรถขนความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้าไปในเขตชานเมือง
       
       การที่กลุ่มหัวรุนแรงกลุ่มนี้ก่อเหตุโจมตีเมืองของชาวเคิร์ด ซึ่งเป็นที่รู้จักในหนึ่งว่า อายน์ อัล-อาหรับ ได้กระตุ้นให้ประชาชนราว 150,000 ลี้ภัยสงครามข้ามพรมแดนเข้าตุรกีนับตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
       
       *** ตุรกีพลิกจุดยืน ***
       
       ประธานาธิบดี เรเซป ตอยยิป เออร์โดแกน ได้ส่งสัญญาณว่าตุรกีกำลังพลิกจุดยืน ด้วยการแถลงเป็นครั้งแรกว่า อาจส่งกำลังทหารตุรกีเข้าไปจัดตั้งพื้นที่ปลอดภัยในซีเรีย หากมีการทำข้อตกลงระดับนานาชาติเพื่อจัดตั้งพื้นที่ปลอดภัยจุดหนึ่งเป็นศูนย์พักพิงผู้อพยพหนีภัยสู้รบ
       
       แม้ว่าก่อนหน้านี้ตุรกีจะปฏิเสธไม่ขอมีบทบาทสำคัญ ในกลุ่มชาติพันธมิตรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อปราบไอเอส ภายใต้การนำของกลุ่มสหรัฐฯ แต่เออร์โดแกนได้ระบุกับหนังสือพิมพ์เฮอร์ริเยตว่า คำกล่าวที่ว่า ตุรกีจะไม่เข้าร่วมภารกิจทหารนั้นไม่เป็นความจริง และตุรกีพร้อม
       
       เขากล่าวว่า กำลังมีการเจรจาเพื่อกำหนดแนวทางในการโจมตีทางอากาศ และปฏิบัติการภาคพื้นดินที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งหารือกันว่า แต่ละประเทศใดจะมีส่วนร่วมในรับผิดชอบภารกิจใด และตุรกีก็พร้อมที่จะมีส่วนร่วม
       
       เขากล่าวว่า คุณไม่สามารถทำลายองค์การก่อการร้ายด้วยการโจมตีทางอากาศเพียงอย่างเดียว กองกำลังภาคพื้นจะช่วยให้ภารกิจสำเร็จสมบูรณ์ คุณจะต้องทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป จริงอยู่ผมไม่ใช่ทหาร แต่ (ปฏิบัติการ) ทางกาศเป็นการส่งกำลังสนับสนุนทางทหาร แต่ถ้าไม่มีการส่งกำลังภาคพื้นดิน เราก็จะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ให้มั่นคงได้ถาวร 
ผู้จัดการ

ตำรวจญี่ปุ่นพบนักเดินเท้าหัวใจหยุดเต้นกว่า 30 ราย บนยอดภูเขาไฟ “ออนทาเกะ”

       เอเอฟพี – ตำรวจญี่ปุ่นออกมาระบุในวันนี้ (28 ก.ย.) ว่าพบนักเดินทางไกลกว่า 30 รายที่หัวใจหยุดเต้น ใกล้กับบริเวณยอดภูเขาไฟออนทาเกะ ที่ปะทุออกมา ระหว่างที่รอการรับรองจากแพทย์ว่าคนเหล่านี้เสียชีวิต
       
       เจ้าหน้าที่กู้ภัยพบนักเดินทางไกลเหล่านี้ใกล้กับบริเวณยอดของภูเขาออนทาเกะที่มีความสูงกว่า 3,067 เมตร (10,121 ฟุต) ที่เกิดการปะทุขึ้นมาเมื่อช่วงเที่ยงวันเสาร์
       
       เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร พนักงานดับเพลิง ประมาณ 550 นาย ได้เข้ามาร่วมปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย เพื่อช่วยเหลือนักเดินทางหลายสิบคนที่คาดว่าจะติดอยู่บนภูเขาไฟ หลังจากที่มีการปะทุของภูเขาไฟลูกนี้ ทำให้มีขี้เถ้า ก้อนหินและไอร้อนพวยพุ่งออกมา ในช่วงสุดสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยนักเดินบนเขา
       
       ขี้เถ้าซึ่งถูกพ่นออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟได้ปกคลุมทั่วบริเวณดังกล่าว มีความหนาถึง 20 เซนติเมตร ทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นซึ่งอาจมีถึง 150 คนต้องเร่งหาที่หลบภัย
       
       เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเชื่อว่า มีนักเดินทางประมาณ 45 – 49 ราย ที่หลบภัยอยู่ตามกระท่อมต่างๆ บนภูเขาลูกนี้ในคืนที่ผ่านมา แต่รายละเอียดนั้นยังไม่มีความชัดเจน
       
       ภูเขาลูกนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักเดินเท้าระยะไกลช่วงปลายเดือนกันยายน เนื่องจากเป็นช่วงที่ภูเขามีสีสันสวยงาม
ผู้จัดการ

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

ผู้นำแคว้น “คาตาโลเนีย” ประกาศจัดลงประชามติแยกตัว “9 พ.ย.”

      เอเจนซีส์-รัฐบาลสเปนประกาศกร้าวในวันเสาร์ (27) ระบุ จะไม่มีการเปิดทางให้แคว้น “คาตาโลเนีย” จัดการลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชโดยเด็ดขาด หลังผู้นำแคว้นดังกล่าวประกาศเดินหน้าจัดลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์ในวันที่ 9 พฤศจิกายน
       
       โซรายา ซาเอนซ์ เด ซันตามาเรีย รองนายกรัฐมนตรีสเปน ออกโรงแถลงในวันเสาร์ (27) โดยระบุว่า การประกาศจัดลงประชามติเพื่อปูทางไปสู่การแยกตัวเป็นเอกราชของแคว้นคาตาโลเนีย หรือ “กาตาลุนญา” ขัดต่อรัฐธรรมนูญของประเทศและย้ำว่า ไม่มีผู้ใดจะสามารถอยู่เหนือเจตจำนงแห่งชาติของชาวสเปนทั้งมวล
       
       ขณะเดียวกัน รองนายกฯแดนกระทิงดุยังเตือนว่า ความพยายามดังกล่าวของบรรดาผู้นำทางการเมืองในแคว้นคาตาโลเนีย รังแต่จะสร้างความแตกแยกและผลักให้แคว้นแห่งนี้ถอยห่างออกจากการเป็นหนึ่งเดียวกับยุโรป
       
       ท่าทีล่าสุดของรองนายกรัฐมนตรีสเปน มีขึ้นไม่นานหลังจากที่อาร์ตูร์ มาส ประธานาธิบดีแคว้นคาตาโลเนียประกาศในวันเสาร์ (27) เตรียมจัดการลงประชามติในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ เพื่อตัดสินอนาคตของแคว้นตนที่ได้ชื่อว่ามั่งคั่งที่สุดในแดนกระทิงดุและต้องการเป็นเอกราช โดยไม่สนใจท่าทีแข็งกร้าวจากรัฐบาลกลางสเปนในกรุงมาดริดที่ประกาศจะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวาง
       
       ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีมาเรียโน ราฮอย แห่งสเปนเพิ่งออกมาประกาศว่า การจัดลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชของแคว้นคาตาโลเนียเป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎหมาย และให้คำมั่นว่า รัฐบาลของเขาจะดำเนินทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องเอกภาพของสเปน
       
       กระแสเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชในแคว้นคาตาโลเนีย ได้ทวีความแข็งแกร่งขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ อีกทั้งยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการจัดลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์ของแคว้นสกอตแลนด์เมื่อ 18 กันยายนที่ผ่านมา ที่กลายเป็นปัจจัยปลุกเร้าให้ชาวคาตาลันที่มีจำนวนมากกว่า 7.5 ล้านคนต้องการออกเสียงเพื่อกำหนดอนาคตของดินแดนของตน
       
       ทั้งนี้ แคว้นคาตาโลเนียถือเป็นขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของสเปนมาช้านาน โดยมีข้อมูลว่าความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจจากแคว้นคาตาโลเนียแห่งนี้ ถูกนำไปหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจที่ง่อยเปลี้ยของสเปนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 1 ใน 5

ผู้จัดการ

รักร่วมเพศมีลงโทษที่อาเจะห์ อินโดนีเซีย

เฆี่ยน 100 ที ขัง 100 เดือน ปรับเป็นทอง 1,000 กรัม สำหรับผู้ละเมิดกฎหมายชาเรียในจังหวัดอาเจะห์ จากการมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน
วันนี้ จังหวัดอาเจะห์ ซึ่งตั้งอยู่ปลายเหนือสุดของเกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งกลุ่มสิทธิมนุษยชนมองว่าเป็นการต่อต้านคนมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ
อาเจะห์ได้รับอำนาจปกครองตนเองมากขึ้นตั้งแต่ปี 2544 ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับรัฐบาลอินโดนีเซียเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ และเป็นเพียงจังหวัดเดียวของอินโดนีเซียที่บังคับใช้กฎหมายอิสลาม
กฎหมายนี้ยังกำหนดบทลงโทษผู้ที่ก่ออาชญากรรมทางเพศ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้แต่งงานกัน การแสดงความรัก การมีชู้หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ทั้งนี้ การมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ไม่ถือว่าผิดกฎหมายอาญาในอินโดนีเซีย แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในหลายพื้นที่ของอินโดนีเซียประเทศที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
บีบีซีไทย

“ขมิ้น” มหัศจรรย์ รายงานผลการศึกษาจากเยอรมัน

“ขมิ้น” เครื่องเทศชนิดหนึ่งที่พบอยู่ในแกงกะหรี่ อาจช่วยกระตุ้นความสามารถของสมองที่จะรักษาตนเอง
วารสารสเตม เซล รีเสิร์ช แอนด์ เทอราปี รายงานผลการศึกษาจากเยอรมนีระบุว่า สารประกอบที่พบในขมิ้นสามารถกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ประสาท ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุดซ่อมแซมสมอง
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า งานวิจัยชิ้นนี้ที่มีพื้นฐานการทดลองกับหนู อาจปูทางไปสู่การผลิตยาที่ใช้รักษาโรคเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองตีบหรือแตก และโรคอัลไซเมอร์ได้ แต่ยังต้องมีการทดลองเพิ่มเติมเพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับมนุษย์ได้หรือไม่
การวิจัยครั้งนี้ นักวิจัยจากสถาบันประสาทวิทยาศาสตร์และยาในเมืองยูลิค เยอรมนี ได้ทดลองฉีดสารประกอบที่พบตามธรรมชาติในขมิ้นเข้าไปในหนูทดลองและสแกนสมองของหนูตัวนั้น พบว่า ส่วนของสมองที่รู้กันว่าเกี่ยวข้องกับการเติบโตของเซลล์ประสาทจะมีปฏิกิริยาตอบสนองมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า สารประกอบที่เรียกว่า อโรเมติค-ทูเมโรนอาจกระตุ้นให้เกิดการแพร่ขยายของเซลล์สมอง
การทดลองอีกส่วนหนึ่งที่แยกต่างหากจากการทดลองแรก นักวิจัยได้นำเซลล์ต้นกำเนิดระบบประสาทของหนูจุ่มลงไปในสารสกัดอโรเมติก-ทูเมโรนเข้มข้น สิ่งที่พบคือเซลล์ต้นกำเนิดระบบประสาทสามารถเปลี่ยนรูปไปเป็นเซลล์สมอง นักวิทยาศาสตร์เสนอว่า เซลล์ต้นกำเนิดเหล่านี้สามารถมีบทบาทในการซ่อมแซมหลังจากเกิดความเสียหายหรือติดเชื้อได้
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าในมนุษย์และสัตว์ที่มีพัฒนาการขั้นสูง ดูเหมือนจะยังไม่เห็นการซ่อมแซมสมองได้อย่างเพียงพอ แตกต่างจากปลาและสัตว์ขนาดเล็กที่ดูเหมือนจะเห็นการทำงานที่ดีกว่า
Cumi-27-09-2014
บีบีซีไทย