ประชาชนวัยต่ำกว่า
๖๐ ปีจำนวนมากขึ้นทุกทีในประเทศเยอรมันได้รับการผ่าตัดข้อเข่าเทียม ระหว่างปี ๒๐๑๓ และ ๒๐๑๖
จำนวนการผ่าตัดในกลุ่มอายุนี้เพิ่มขึ้น ๒๓% ตามการตรวจสอบของมูลนิธิ
Bertelsmann ที่ได้รับการเปิดเผยเมื่อวันที่ ๑๙
มิถุนายนที่ผ่านมา
ยิ่งคนไข้อายุน้อยเท่าใด
ความเป็นไปได้ก็ยิ่งสูงว่าภายหลังต้องเปลี่ยนเอาออก มูลนิธิ ฯ ระบุแนวโน้มว่า “น่าเป็นห่วง”
จำนวนการผ่าตัดที่เพิ่มขึ้นในคนไข้อายุน้อยเพิ่มขึ้นจาก ๒๗,๐๐๐ เป็น ๓๓,๐๐๐
กรณีภายใน ๓ ปีก่อให้เกิดคำถามว่าการผ่าตัดมีความจำเป็นทางการแพทย์จริงหรือไม่ โดยรวมจำนวนผู้ที่ได้รับข้อเข่าเทียมเพิ่มขึ้นจาก
๑๔๓,๐๐๐ คนในปี ๒๐๑๓ เป็น ๑๖๙,๐๐๐ คนในปี ๒๐๑๖
เพิ่มขึ้น ๑๘%
ตามการศึกษา มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ในการเปรียบเทียบระหว่างแคว้น แคว้นนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลนอยู่ในระดับกลาง ๆ
ด้วยจำนวนการผ่าตัดใส่ข้อเข่าปลอมครั้งแรก ๒๐๑ ครั้งต่อผู้อยู่อาศัย ๑๐๐,๐๐๐
คน
การผ่าตัดครั้งแรกส่วนใหญ่มีขึ้นในแคว้นไบเอิร์น (๒๖๐ ครั้ง) และทือริงเกน
(๒๔๓ ครั้ง) ซึ่งความแตกต่างนี้และการเพิ่มขึ้นของจำนวนไม่สามารถอธิบายได้ด้วยปัจจัยทางการแพทย์
ประชากรศาสตร์หรือภูมิศาสตร์ ในปี ๒๐๑๖
บอนน์เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีการผ่าตัดข้อเข่าน้อยที่สุดของประเทศด้วยจำนวนเพียง
๑๔๒ ครั้ง Bertelsmann และ Science Media Center (SMC)
มองเห็นสาเหตุเบื้องหลังการเพิ่มขึ้นของการผ่าตัดว่าเป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจ
ตามที่การสัมภาษณ์แพทย์เฉพาะทาง
บริษัทประกันสุขภาพและผู้แทนโรงพยาบาลและนักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขหลายสิบครั้งได้ยืนยันเรื่องนี้ การผ่าตัดกลายเป็นการทำกำไรด้านการเงิน ตามข้อมูลของ SMC โรงพยาบาลได้รับเงินสูงขึ้นสำหรับการผ่าตัดนี้
Meike Hemschemeier
จาก SMC
ชี้แจงเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายนที่ผ่านมาว่าในปี ๒๐๑๓
โรงพยาบาลสามารถคำนวณสำหรับการผ่าตัดข้อเข่าเป็นเงินราว ๗,๒๐๐ ยูโรและในปี ๒๐๑๖
เกือบ ๗,๙๐๐ ยูโร
วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561
เยอรมันน่าลงทุน
ประเทศเยอรมันยังคงเป็นตำแหน่งที่ตั้งที่มีแรงดึงดูดสำหรับนักลงทุนต่างชาติ สมาคมที่ปรึกษา EY ได้เปิดเผยเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
บนพื้นฐานการศึกษาชิ้นหนึ่งว่าในบัญชีตำแหน่งที่ตั้งของสหภาพยุโรป
ประเทศเยอรมันอยู่ในอันดับสองด้วยจำนวนโครงการลงทุน ๑,๑๒๔
โครงการของบริษัทต่างชาติในปี ๒๐๑๗ (+๖%) ด้วยการลงทุนนี้ทำให้มีตำแหน่งงานใหม่
๓๑,๐๐๐ ตำแหน่ง
ทำให้ประเทศเยอรมันอยู่ในอันดับที่ ๒ เช่นดียวกัน ตามข้อมูลของ EY ในทั้งสองภาคประเทศเยอรมันถูกแซงหน้าโดยประเทศอังกฤษ
ในปี ๒๐๑๗ ที่นั่นจำนวนโครงการลงทุนของบริษัทต่างชาติเพิ่มขึ้น แม้จะมีการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป
๖% เช่นเดียวกันเป็น ๑,๒๐๕ โครงการ ซึ่งหมายถึงตำแหน่งงานใหม่ ๕๐,๒๐๐
ตำแหน่งตามการชี้แจงของ EY สำหรับการศึกษา สมาคมที่ปรึกษาได้วิเคราะห์โปรเจคท์ใน ๕๑ ประเทศ สำหรับการเพิ่มขึ้นในประเทศอังกฤษเป็นความรับผิดชอบของบริษัทอเมริกันที่ได้เพิ่มการงานที่นั่นขึ้น
๑๖% นอกจากนั้น
ในอันดับภาพลักษณ์ทั่วยุโรป ประเทศเยอรมันยังอยู่ในอันดับที่ ๑
ก่อนหน้าประเทศฝรั่งเศสและประเทศอังกฤษ ตามการค้นพบของ EY โดยในการสอบถาม บริษัท ๖๖ จาก ๕๐๕
บริษัทได้ระบุประเทศเยอรมันเป็นหนึ่งในสามของตำแหน่งที่ตั้งการลงทุนชั้นนำในยุโรป
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561
จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น
เส้นทางเดินทางเร็วเส้นใหม่เบอร์ลิน-มืนเชนทำให้มีผู้โดยสารหันมาใช้รถไฟมากขึ้น ในระยะเวลา ๖ เดือนนับแต่การเปิดเส้นทางใหม่ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
มีผู้โดยสาร ๒ ล้านคนใช้เส้นทางนี้
ตามการเปิดเผยของการรถไฟแห่งประเทศเยอรมันเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าสองเท่าของช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วและมากกว่าที่คาดไว้ Birgit Bohle หัวหน้าการคมนาคมทางไกลของการรถไฟ
ฯ กล่าวถึงความสำเร็จที่เห็นได้ชัดเจนและยืนยันว่าตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป จะให้มีรถไฟเดินทางระหว่างสองเมืองนี้มากขึ้น แต่ละวันควรมีรถไฟสปรินเตอร์วิ่ง ๕ ขบวนต่อเส้นทางแทนสามขบวน
ระยะเวลาเดินทางระหว่างเบอร์ลินและมืนเชนลดลงจาก ๖
ชั่วโมงเป็นราวสี่ชั่วโมง ด้วยรถสปรินเตอร์ผ่านเส้นทางใหม่ รถ ICE ปกติที่หยุดบ่อยกว่าใช้เวลาอย่างน้อย
๔.๒๕ ชั่วโมง ในระยะทาง ๖๒๓ กิโลเมตรผ่าน Erfurt
รถไฟวิ่งด้วยความเร็วได้ถึง ๓๐๐ กม./ชม. การสร้างใหม่และเสริมสร้างเส้นทางทั้งสายมีค่าใช้จ่าย
๑๐ พันล้านยูโร Bohle กล่าวว่าแต่ละวันการรถไฟ ฯ ขายตั๋วโดยสาร ๑๕,๐๐๐ ใบในเส้นทางใหม่
เที่ยวบินล่าช้าบ่อยขึ้น
จำนวนการล่าช้ามากของเที่ยวบินในปีนี้เพิ่มขึ้นอย่างหนัก
เมื่อเปรียบเทียบกับในปี ๒๐๑๗ ตามการตรวจสอบของ
EU-Claim
ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงวันที่ ๒๘ พฤษภาคมที่ผ่านมาเที่ยวบิน ๑,๔๖๖
เที่ยวในประเทศเยอรมันล่าช้ามากกว่าสามชั่วโมง
ในการคำนวณนับเพียงการล่าช้าของสายการบิน ๕
สายที่มีความล่าช้าดังกล่าวมากที่สุด
โดยรวมมีการล่าช้ามากกว่านี้
ตรงกันข้าม ในปี ๒๐๑๗ ใน ๕
สายการบินที่มีความล่าช้ามากที่สุดมีการล่าช้าขนาดหนักรวมกันเพียง ๗๓๘ ครั้ง หรือเพียงครึ่งหนึ่งของปีนี้ สายการบินที่ประสบเหตุ ได้แก่ ยูโรวิงส์
(ล่าช้ามาก ๔๔๒ ครั้งในปีนี้) ลุฟท์ฮันซา (๓๙๓ ครั้ง) ไรอันแอร์ (๒๘๐ ครั้ง)
คอนดอร์ (๒๑๒ ครั้ง) และ Tuifly (๑๓๙ ครั้ง) เห็นว่าการสไตรค์ของกัปตันการบินในประเทศฝรั่งเศส
อิตาลีหรือกรีซเป็นสาเหตุที่สำคัญสำหรับการล่าช้า
ฝนฟ้าคะนองจำนวนมากนำไปสู่การที่เที่ยวบินจำนวนมากต้องเปลี่ยนเส้นทาง นอกจากนั้น ยูโรวิงส์และคอนดอร์ยังเสริมสร้างฝูงบินอย่างหนักหลังอวสานของแอร์เบอร์ลิน
โฆษกของคอนดอร์รับว่าน่าเสียดายที่ในการเริ่มใช้งานของเครื่องบินเหล่านี้มีความล่าช้า
การเพิ่มขึ้นโดยทั่วไปของการคมนาคมก็มีบทบาทด้วย สายการบิน ๕
สายที่มีการล่าช้ามากที่สุดดำเนินเที่ยวบินจนถึงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาของปีนี้
๓๕๙,๐๐๐ เที่ยว มากกว่าในปีก่อนหน้า ๑ ใน
๔
ผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงการล่าช้าเป็นเวลานานต่อไปและการล่าช้าสั้น ๆ
ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่า
โดยต้องคำนวณว่าจนถึงปลายเดือนมิถุนายนยังจะมีฝนฟ้าคะนองจำนวนมาก ประการที่สอง ตามข้อมูลของ EU-Claim ในฤดูร้อนมีการล่าช้านานเนื่องจากมีการคมนาคมมากเป็นพิเศษ ประการที่สาม
ผู้นำร่องอิตาเลียนได้ประกาศการสไตรค์ครั้งใหม่และในประเทศฝรั่งเศสมีอันตรายว่าจะมีการสไตรค์ใหม่ Roland Keppler นายใหญ่ Tuifly กล่าวว่าหากการสไตรค์ดำเนินต่อไป
ผู้โดยสารต้องเตรียมพร้อมกับฤดูร้อนที่มีการล่าช้าจำนวนมาก ประการที่สี่ สายการบินวิจารณ์การที่น่านฟ้ายุโรปมีการควบคุมจากสำนักงานรักษาความปลอดภัยด้านการบินระดับชาติที่ทำงานแตกแยกกันถึง
๒๐ แห่ง มีผลที่ทำให้การใช้เส้นทางไม่มีประสิทธิภาพ Keppler กล่าวว่าเราต้องการระบบรักษาความปลอดภัยด้านการบินที่เป็นหนึ่งเดียวกันในยุโรป
เพื่อลดความคับแคบ
ซึ่งจะช่วยเพิ่มความตรงเวลาขึ้น
แม้ว่าไรอันแอร์จะไม่ออกความเห็นเกี่ยวกับจำนวนที่ระบุในการศึกษา แต่ก็เรียกร้องการควบคุมการบินที่ดีขึ้น
โดยกล่าวว่าผลการบริการของการควบคุมการคมนาคมทางอากาศในยุโรปน่าร้องเรียนและเป็นสาเหตุของการล่าช้าที่ยอมรับไม่ได้สำหรับลูกค้าของสายการบิน คำถามใหญ่ คือ
ผู้โดยสารจะได้รับค่าชดเชยหรือไม่
ตามสิทธิของ EU ในการล่าช้าตั้งแต่สามชั่วโมงขึ้นไปมีการชดเชยเป็นจำนวนอย่างน้อย
๒๕๐ ยูโร แต่สายการบินได้บ่งชี้อย่างถูกต้องว่า
กฎนี้ไม่มีผลหากการล่าช้าเกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่ไม่สามารถบังคับได้ เช่น
การสไตรค์หรือสภาพอากาศไม่ปกติ ตรงกันข้าม
Stefanie Winiarz รองประธาน EU-Claim ประเทศเยอรมันมีความเห็นว่าบ่อย
ๆ
สายการบินระบุอย่างไม่ถูกต้องว่าสภาพแวดล้อมที่ผิดปกติเป็นต้นเหตุของความยุ่งเหยิง
เพื่อไม่ต้องชำระค่าชดเชย EU-Claim
จึงแนะนำให้ตรวจสอบในทุกกรณีว่ามีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยหรือไม่
เข้าเรียนสาขาแพทยศาสตร์
ในอนาคตที่เรียนสาขาแพทยศาสตร์จะได้รับการแบ่งสรรตามกระบวนการพิจารณาคัดเลือกแบบใหม่
ที่ประชุมรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการได้ลงมติสำหรับระเบียบใหม่ของกระบวนการรับเลือกให้เข้าเรียน
เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายนที่ผ่านมาที่ Erfurt
ระเบียบใหม่เป็นเรื่องจำเป็นหลังการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ
โควตาระยะเวลาการรอเรียนที่จนถึงปัจจุบันใช้อยู่ควรได้รับการยกเลิก ตรงกันข้าม
โควตาคะแนนจบการศึกษามัธยมปลายที่ดีที่สุดสำหรับผู้สมัครจะได้รับพิจารณาก่อนจะยังคงไว้ จนถึงปัจจุบัน ๒๐% ของที่เรียนในสาขาแพทย์ตกไปยังผู้สมัครที่มีคะแนนจบการศึกษามัธยมปลายที่ดีที่สุด
ได้แก่ ผู้จบด้วยคะแนนเฉลี่ยด้วยเกรด ๑
อีก ๒๐%
มอบให้ตามระยะเวลารอหลังจบมัธยมศึกษาตอนปลาย
ซึ่งในอนาคตจะตกไป ที่เหลืออีก ๖๐%
จนถึงปัจจุบันมหาวิทยาลัยเป็นผู้คัดเลือกเองตามเกณฑ์ต่าง ๆ กัน คะแนนการจบมัธยมศึกษาก็เป็นตัวตัดสินด้วย
กระบวนการคัดสรรของมหาวิทยาลัยนี้ในอนาคตไม่ควรมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ที่ใหม่ คือ นอกเหนือจากคะแนนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย
ต้องมีเกณฑ์อื่น ๆ อีกอย่างน้อย ๒ ข้อเข้าร่วมมีบทบาท ซึ่งจะเป็นเกณฑ์อะไรนั้นยังต้องมีการกำหนดต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561
มหาเศรษฐีทั่วโลกเพิ่มขึ้น
ทรัพย์สินของมหาเศรษฐีทั่วโลกในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเกินเขต
๗๐ หมื่นล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก
โดยเฉพาะจากการบูมของหุ้นและการกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจอย่างหนักทำให้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้น
๑๐.๖% เมื่อเปรียบเทียบกับในปี ๒๐๑๖
ตามการตรวจสอบของบริษัทที่ปรึกษา Capgemini ที่ได้รับการเปิดเผยเมื่อวันที่
๑๘ มิถุนายนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันสโมสรคนรวยก็เพิ่มขึ้น ทั่วโลกมีประชาชน ๑๘.๑ ล้านคนที่มีทรัพย์สินให้ใช้จ่ายมากกว่า
๑ ล้านดอลลาร์ มากกว่าในปี ๒๐๑๖ คิดเป็น ๙.๕% ในประเทศเยอรมันจำนวนเอกชนที่มีทรัพย์สินมากเพิ่มขึ้น
๖.๖% เป็นราว ๑.๒๗ ล้านคน
โดยรวมกันแล้วมีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น ๕.๒ หมื่นล้านดอลลาร์ (+ ๗.๖%) ประเทศเยอรมันรวมอยู่ในประเทศที่มีเศรษฐีเงินดอลลาร์มากที่สุด อันดับหนึ่ง ได้แก่ สหรัฐอเมริกา
ตามมาด้วยญี่ปุ่น เยอรมัน และจีน
โดยรวมกันมีทรัพย์สิน ๖๑.๒% ของโลก
แต่การศึกษาระบุว่าแม้จะมีการกระเตื้องของเศรษฐกิจ
แต่สัดส่วนของผู้บริโภคในประเทศเยอรมันที่ไม่มีเงินเก็บมีจำนวนสูงถึง ๒๗% ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น
ๆ แล้วจัดว่าเป็นตัวเลขที่สูง
Flixtrain
ผู้ให้บริการรถโดยสารทางไกล
Flixbus
ได้นำรถไฟวิ่งระยะทางไกลอีกสองขบวนออกมาให้บริการ เป็นการเพิ่มข้อเสนอเป็นสองเท่า ตั้งแต่วันที่ ๒๑
มิถุนายนที่ผ่านมาเป็นต้นไปฟลิกซ์เทรนควรวิ่งระหว่างสตุทการ์ดและเบอร์ลินสองเที่ยวต่อวัน
ตามการประกาศของฟลิกซ์บุสเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้การบริการขยายออกไปเร็วกว่าที่วางแผนไว้ ๑
เดือน บนเส้นทางโคโลญน์-ฮัมบวร์กรถไฟคันที่สองจะเริ่มวิ่งในวันที่
๑๙ กรกฎาคม André Schwämmlein ผู้จัดการฟลิกซ์บุสกล่าวว่าสามเดือนหลังการนำฟลิกซ์เทรนออกสู่ตลาด
การตอบรับท่วมท้น
ฟลิกซ์บุสคำนวณว่าจนกว่าจะถึงปลายปีจะสามารถเกินเป้าหมายผู้โดยสาร ๕๐๐,๐๐๐
คนที่วางไว้ก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน เฉลี่ยที่นั่ง
๗๐% มีการจองตั๋ว
ซึ่งมากกว่าในรถ IC และ ICE
ของการรถไฟแห่งประเทศเยอรมัน
ฟลิกซ์เทรนได้วางแผนจะวิ่งระหว่างเบอร์ลินกับโคโลญน์
รวมทั้งเบอร์ลินกับมืนเช่นตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมเป็นต้นไปด้วย บริษัทไม่ได้ขายตั๋วเพียงออนไลน์เท่านั้นอีกต่อไป หากแต่ที่เคานเตอร์ในสถานีรถไฟสตุดการ์ด
เบอร์ลินและดุสเซลดอร์ฟด้วย
อาชญากรรมด้านเศรษฐกิจ
อาชญากรรมด้านเศรษฐกิจในประเทศเยอรมันในปี
๒๐๑๗ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
สำนักงานอาชญากรรมแห่งชาติรวบรวมได้ ๗๔,๐๗๐ กรณี มากกว่าปีก่อนหน้า ๒๘.๗% ขณะเดียวกันก็เป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ
๕ ปีที่ผ่านมา ตามการเปิดเผยของสำนักงาน ฯ เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ความเสียหายที่เกิดขึ้น ๓.๗๔ พันล้านยูโรก็สูงกว่าค่าของปีก่อนหน้า
(๒.๙๗ พันล้านยูโร) ราว ๑ ใน ๔ เจ้าหน้าที่ไต่สวนชี้แจงว่าอินเตอร์เน็ตเปิดโอกาสให้เกิดการกระทำผิดใหม่และหลากหลาย
การที่ตัวเลขเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้นอยู่กับกรณีเดี่ยว ๆ จำนวนมากด้วย
เด-มาร์คยังแลกได้
เงินมาร์คไม่ได้เป็นเครื่องมือชำระหนี้ตามกฎหมายมานานแล้ว
แต่ผู้ที่มีเงินมาร์คในรูปของเหรียญกษาปณ์หรือธนบัตรยังสามารถแลกได้โดยไม่มีกำหนดเวลาต่อไปด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ที่
๑.๑๙๕๕๘๓ มาร์คต่อ ๑ ยูโรโดยไม่จำกัดจำนวนที่สาขาของธนาคารชาติ สมาคมธนาคารเยอรมันชี้แจงโดยอ้างตัวเลขของธนาคารชาติว่าตามทางการยังมีเงินราว
๑๒.๖ พันล้านมาร์คนอนนิ่งอยู่ในลิ้นชัก แฟ้มสะสม หรือที่ซ่อนอื่น ๆ
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2561
ตามล่ามรดกโลก
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาพี่สาวของผู้เขียนและเพื่อนพี่สาวได้พากันมาเที่ยวยุโรป
โดยเริ่มต้นที่ประเทศฝรั่งเศส
เนื่องจากได้ยินคำร่ำลือมาว่าการขอวีซาเชงเกนจากฝรั่งเศสสามารถทำได้ง่าย
ไม่ยุ่งยาก แล้วยังได้แบบสามารถเดินทางเข้าออกได้หลายครั้ง (Multiple) อีกด้วย
ซึ่งหลังจากพี่สาวไปยื่นขอมาแล้ว ก็ได้รับวีซา ๓ ปีมาสมอารมณ์หมายในราคาราว ๖๐ ยูโร
และเพื่อความสมจริงสมจัง ว่าอยากมาฝรั่งเศสจริงจริ๊งก็เลยอยู่เที่ยวฝรั่งเศสเสียหนึ่งสัปดาห์ โดยผู้เขียนได้นั่งรถไฟตามไปสมทบที่ Straßburg
แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงนั่นคือตั้งใจจะไปเที่ยว
Colmar เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากสตราซบวร์กเพียงแค่ ๖๔ กิโลเมตร ใช้เวลานั่งรถไฟ
๓๐ นาทีก็ถึง
อันว่าสตราซบวร์กนี้เป็นเมืองหลวงของภูมิภาค Alsace-Champagne-Ardenne-Lorraine อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศสใกล้พรมแดนประเทศเยอรมันและยังเป็นที่ตั้งอย่างเป็นทางการของรัฐสภาสหภาพยุโรป
ย่านเมืองเก่าได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมากว่า ๓๐ ปีแล้ว ส่วนย่าน Wilhelminische
Neustadt หรือที่เรียกกันว่า "ย่านเยอรมัน" ก็เพิ่งถูกจัดให้เป็นมรดกโลกเช่นเดียวกันเมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนตั้งท่าจะไปเที่ยวมาหลายครั้งหลายหน
แต่ก็ได้แต่ตั้งท่า เคยขับรถผ่านก็หลายครา แต่ก็ไม่ได้แวะ
ความที่คุณสามีเป็นพวกไม่ชอบแวะเบี้ยบ้ายรายทาง
เธอมีแผนว่าจะทำอะไรจะไปไหนก็ทำตามแผน ไม่มีนิสัยเถลเถไถแบบเรา คราวนี้ได้ไปสมใจเสียที
ทั้งที่โดนขู่ทั้งจากลูกชายและคุณสามีให้ระวังอันตรายจากการเดินทางด้วยรถไฟคนเดียว
ซึ่งกินเวลาราวหกชั่วโมง ในความเป็นจริงสามารถเดินทางได้เร็วกว่านี้
แต่ความตึ๊งหนืดของผู้เขียน ทำให้จองตั๋ว Europa Spezial ของการรถไฟแห่งประเทศเยอรมัน
(DB) ซึ่งได้ตั๋วถูกก็จริง (เดินทางไปกลับแค่ ๕๘ ยูโรเศษ) แต่ก็ไม่ได้นั่ง ICE
ได้นั่งแค่ IC
ผู้เขียนเองเป็นคนชอบนั่งรถไฟดูวิวทิวทัศน์อยู่แล้ว ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
แต่โดนพี่ DB ทำพิษเข้าให้เต็มเปา
แต่อันนี้ขอยกยอดไปเล่าในคราวหลัง
หาไม่คงจะไม่ถึงสตราซบวร์กเสียทีเป็นแน่
หลังจากระหกระเหินจากพิษ DB เสียอ่วม ผู้เขียนก็มาถึงสตราซบวร์กจนได้
ก่อนหน้านี้บอกพี่สาวที่ไปถึงก่อนให้สำรวจตั๋วและป้ายรถรางที่จะขึ้นไปยังที่พัก
รวมทั้งตั๋วรถไฟที่จะเดินทางไปโคลมาร์ในวันรุ่งขึ้นไว้ให้เสร็จสรรพ
เพื่อไม่ให้เสียเวลาต้องไปงมหา พี่สาวแสนดีซื้อตั๋วโดยสารรถสาธารณะแบบไม่จำกัดเที่ยวภายใน
๒๔ ชม. สำหรับ ๓ คนไว้ให้ในราคา ๖.๘๐ ยูโร
ก็พาขึ้นรถไฟใต้ดินที่มีป้ายอยู่ทั้งข้างใต้สถานีรถไฟใหญ่ไปยังที่พักตามที่เจ้าของบ้านอธิบายทางไว้ให้
เป็นที่น่าสังเกตว่าคนฝรั่งเศสที่พบตามถนนหนทางไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษและเยอรมันกันเท่าใดนัก
หายากมากทีเดียวที่จะถามทางกันได้รู้เรื่องโดยไม่ต้องผสมภาษาเศษฝรั่งของผู้เขียนที่หลงเหลือจากที่คืนครูไป
ติดสมองอยู่เล็ก ๆ น้อย ๆ และการบุ้ยใบ้ใช้ภาษามือ
ค่อยยังชั่วเจ้าของบ้านที่ไปพักเธอสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี
อันว่าที่พักนี้ผู้เขียนจองจากอินเตอร์เน็ตโดยเลือกบ้านส่วนบุคคลที่แบ่งห้องให้เช่า
เนื่องจากพบว่าอยู่สบายดีกว่าโรงแรม ที่ทางกว้างขวาง ทำอาหารได้ และที่สำคัญได้รู้จักกับชาวบ้านร้านถิ่นตัวจริงเสียงจริง
สามารถพูดคุยและสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวก็ได้ ถ้าอยากรู้
ตามปกติก็ไม่ค่อยเจอะเจอหน้ากันเท่าไรนัก
นอกจากเวลาเข้าพักที่ต้องมีการมอบกุญแจและชี้ที่ทางห้องนอนห้องน้ำห้องครัว ฯลฯ
เนื่องจากเจ้าของบ้านก็ไปทำงาน พวกเราก็ออกตระเวณเที่ยวกันทั้งวัน
ตกเย็นหรือค่ำถึงได้กลับไปนอน บ้านพักที่สตราซบวร์กนี่ก็เช่นเดียวกัน
วันรุ่งขึ้นต้องรีบร้อนตื่นแต่เช้ามืด เนื่องจากแจ็คพ็อตการรถไฟแห่งประเทศฝรั่งเศสทำการสไตรค์
ลดจำนวนเที่ยวลง หากไม่ขึ้นเที่ยวแรก ก็จะต้องรอไปจนถึงบ่ายคล้อยนั่นแล พวกเรา ขมีขมันลุกขึ้นมาแต่งตัว
กินอาหารเช้าแบบง่าย ๆ ที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้
แล้วก็เดินมาขึ้นรถเมล์ด่อด้วยรถรางกลับมายังสถานีรถไฟใหญ่เช่นเดิม
ตรงนี้ขออธิบายนิดนึงว่าตั๋ว ๒๔
ชม.ที่ซื้อมานั้นจะเริ่มนับเวลาจากการแสตมป์ตั๋วครั้งแรก
โดยใช้หลักการไว้ใจกันว่าผู้ใช้จะไม่โกง
ผู้ใดหัวใสคิดจะประหยัดโดยการไม่เสียบตั๋วเข้าไปในเครื่องที่มีอยู่ทั่วไปตามป้ายรถรางหรือรถไฟใต้ดินก็ทำได้
แต่ไม่แนะนำ เนื่องจากเราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะมีคนตรวจตั๋วขึ้นมาตรวจเมื่อใด (คณะเราเคยเจอหนึ่งครั้งดักอยู่ตรงทางลงจากรถเมล์
ตัวขนาดน้อง ๆ ยักษ์ หน้าตาก็ขมึงทึงไม่แพ้กัน) จะได้ไม่คุ้มเสีย
นอกจากนั้นราคาเท่านี้ก็นับว่าคุ้มสุดคุ้มแล้ว เพราะลำพังตั๋วรถเมล์เที่ยวเดียวก็มีราคา
๒ ยูโรแล้ว นี่สามารถขึ้นรถสาธารณะได้ทั้งรถเมล์ รถราง รถไฟใต้ดิน ส่วนตั๋วรถไฟที่จะไปโคลมาร์นั้น
ทีแรกผู้เขียนได้ข้อมูลจากการท่องเที่ยวของสตราซบวร์กมาว่ามีตั๋วที่เรียกว่า Elsass Plus สำหรับกรุ๊ปในราคาเพียง ๑๕ ยูโร แต่เมื่อวานตอนที่พี่สาวไปติดต่อขอซื้อ
เจ้าหน้าที่ขายตั๋วบอกว่าใช้ได้สำหรับวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น อ้าว แล้วกัน
แล้วการท่องเที่ยว ฯ ก็ไม่บอกให้ละเอียด เป็นอันว่าต้องซื้อตั๋วรถไฟชั้นสองในราคา
๑๒.๙๐ ยูโรต่อคน (ชั้น ๑ ราคา ๑๙.๔๐ ยูโร) เนื่องจากเดินทางกันในวันธรรมดา
ตามจริงผู้เขียนเคยอ่านเจอเหมือนกันว่าสามารถโดยสารรถบัสไปได้ในราคาตั้งแต่ ๕ ยูโรขึ้นไป
แต่ไม่ได้สนใจที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติม เพราะเป็นคนชอบนั่งรถไฟมาแต่ไหนแต่ไร
นั่งเล่นเย็นใจไปเพียงครู่เดียวก็ถึงโคลมาร์เมืองในฝัน
ลงรถไฟที่สถานีรถไฟของเมืองแล้วเดินตามป้าย Zentrum
เข้าไปในตัวเมือง ตามจริงระยะทางไม่ไกลนัก
แต่ไปกับคณะที่ชอบการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ เห็นอะไรก็ตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด
จึงต้องแวะถ่ายรูปกันตลอดเวลา เนื่องจากยังเช้าอยู่มาก จึงแทบว่าทั้งปาร์ค Champ de Mars จะเป็นของเราก็ว่าได้ สวนสาธารณะกลางเมืองแห่งนี้ต้นไม้เขียวชอุ่ม ตามข้อมูลนัยว่ามีต้น Linden รายล้อมอยู่ถึง ๑๙๓ ต้นทีเดียว
จุดสนใจของพี่ ๆ สองคนก็หนีไม่พ้นรูปปั้น Bartholdi*นายพล Rapp
และน้ำพุ Bruat
ปกติสิ่งแรกที่เรามักจะทำกันเป็นปกติเวลาไปที่ใด คือการมุ่งไปที่สำนักงานท่องเที่ยวของเมืองนั้น
ๆ เพื่อขอแผนที่และข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว สัญลักษณ์ของสำนักงานท่องเที่ยวจะเหมือนกันทุกแห่ง
คือ ตัว I และมักจะอยู่กลางเมือง
ที่โคลมาร์ก็เช่นเดียวกัน เดิน ๆ หยุด ๆ ถ่ายรูปและวินโดว์ช็อปปิงตามป้ายตัวไอไปเรื่อย
ๆ จนเจอ สำนักงานสว่างไสวดี มีแผ่นพับแจกหลายภาษา มีของที่ระลึกขาย และที่สำคัญได้เข้าห้องน้ำสะอาดสะอ้านฟรีโดยไม่คาดหมาย
ระหว่างนั่งรอพี่ ๆ เข้าห้องน้ำ ผู้เขียนหยิบเอกสารแจกมานั่งอ่านไปพลาง ๆ
ได้ความว่า Colmar อยู่บนถนนสายไวน์ที่มีชื่อเสียงของภูมิภาค
ได้รับการกล่าวถึงครั้งแรกตั้งแต่ในปี ค.ศ. ๘๒๓ ในปี ๑๑๐๖
ถูกไฟไหม้ได้รับความเสียหาย ระหว่างปี ๑๘๗๑-๑๙๔๕ ถูกสลับสับเปลี่ยนอยู่ในมือของประเทศเยอรมันและฝรั่งเศส
หลังการลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ในวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๑๙๑๙ ได้ตกเป็นของฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง จนปี ๑๙๔๐ จึงได้เข้าร่วมกับอาณาจักรที่ ๓ (Dritte
Reich) ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
หลังการสู้รบกันอย่างหนักหน่วง โคลมาร์ได้ตกเป็นของฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนเมืองเก่าได้รับการขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก โดยประกอบไปด้วยโบสถ์
คลอง รูปปั้น น้ำพุ บ้านปูนเปลือยที่โชว์งานไม้ (Fachwerk)
อาคารที่ส่วนด้านหน้ามีสีสันและลวดลายสวยงามจากยุคกลางและยุคเรอเนซองส์ ซึ่งรอดพ้นจากการถูกระเบิดระหว่างสงครามมาได้อย่างน่าประหลาดใจ
ในแผนที่เมืองที่หยิบมานั้นระบุสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของเมืองไว้สิบกว่าแห่ง
ส่วนใหญ่ก็จะคล้ายกับข้อมูลที่ผู้เขียนอ่านไปจากที่บ้าน เนื่องจากเมืองมีขนาดไม่ใหญ่นัก
จึงสามารถเดินชมได้ทั่วภายในไม่กี่ชั่วโมง โดยจะเดินไล่ไปตามหมายเลขตั้งแต่ ๑
เป็นต้นไป หรือจะสลับสับเปลี่ยนจากท้ายมาต้นก็ไม่ผิดกติกา แถมแผนที่ก็แทบจะไม่ต้องใช้
เนื่องจากว่าในเมืองมีป้ายที่ระบุทางไปสถานที่น่าสนใจต่าง ๆ ไว้ทุกระยะ
เราเพียงแต่ดูเปรียบเทียบกับในแผนที่ว่าสถานที่นั้น ๆ ตรงกับหมายเลขใด
เพื่อจะได้รู้ว่าถึงหมายเลขไหนแล้ว และยังขาดที่ไหนอีก พอเริ่มสายผู้คนก็เริ่มมา
คราวนี้ละแทบว่าจะเดินชนกัน ได้ยินเสียงพูดคุยภาษาต่าง ๆ จ้อกแจ้ก
มีกรุ๊ปทัวร์ที่เดินตามไกด์เป็นกลุ่ม ๆ และแน่นอนที่ขาดไม่ได้คือคนไทยจ้า
ปะหน้ากันเข้าโดยบังเอิญหลายกลุ่มอยู่ ได้ทักทายและผลัดกันถ่ายรูป
ถามไถ่ได้ความว่ากลุ่มหนึ่งมาจากประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง
ส่วนอีกกลุ่มมาไกลจากจังหวัดน่านนู่นแน่ะ
หลังจากเข้าโบสถ์นั้นออกโบสถ์นี้อยู่สองสามแห่ง ซึ่งโบสถ์ที่จะขาดเสียไม่ได้ก็ได้แก่
Église des Dominicains **หรือโบสถ์โดมินิกัน และ Èglise St Martin
(โบสถ์เซนต์มาร์ติน) มหาวิหารประจำเมืองที่สร้างตามสถาปัตยกรรมบาร็อค
ผู้เขียนก็ขอแวะตลาดปิดของเมือง (Marché Couvert)
ซึ่งอยู่ในตึกจากปี ๑๘๖๕ ที่สร้างด้วยอิฐและหินหน้าตาสวยงามและเคยถูกใช้ประโยชน์มาแล้วหลายอย่าง
ก่อนที่จะกลับมาเปิดเป็นตลาดตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมในเดือนกันยายน ๒๐๑๐ ในนั้นจะมีแผงขายสินค้าจำพวกผัก
ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไส้กรอก ปลา เนยแข็ง พืชพรรณไม้ดอกไม้ใบและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ฯลฯ
ผู้เขียนไปเจอะเจอเนยแข็งหน้าตาแปลก ๆ น่าสนใจที่ระบุว่า "แฮนด์เมด"
แถมลดราคาอีกต่างหาก ก็เลยได้ของติดไม้ติดมือมาฝากคนที่บ้าน
โชคดีที่สาวคนขายได้ยินภาษาเศษฝรั่งของผู้เขียนเข้าแล้วคงเวทนาเต็มแก่ จึงส่งภาษาอังกฤษเจื้อยแจ้วมา
เป็นอันว่าได้เนยแข็งที่ทำจากนมแพะโรยด้วยเครื่องเทศหลากหลายชนิดตามต้องการ
เสร็จจากการเป็นพญาน้อยชมตลาด จุดหมายต่อไปของเราคือ La Petite Venise หรือเวนิสน้อย
ซึ่งเป็นจุดขายของโคลมาร์เลยก็ว่าได้
เรียกว่าถ้ามาโคลมาร์แล้วไม่มาเยือนถิ่นเวนิสน้อยก็แทบจะกล่าวได้ว่ามาไม่ถึงเอาเลยทีเดียวเชียว
ตรงนี้ก็เหมือนเวนิสต้นตำรับคือมีคลองไหลผ่าน
มีสะพานที่นักท่องเที่ยวคนไหนคนนั้นต้องไปยืนแอ็คท่าถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
เสียดายว่าตอนที่คณะเราไปนั้นฤดูใบไม้ผลิยังเพิ่มเริ่มต้นได้ไม่นาน ดอกไม้จึงยังไม่บานสะพรั่ง
เพียงมีให้เห็นเป็นบางที่
ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของสถานที่ด้อยไปในสายตาผู้เขียน ที่เวนิสน้อยนี้มีเรือลำเล็ก
ๆ จอดรอท่านักท่องเที่ยวเพื่อพาเที่ยวลำคลองอยู่
ฝีพายหน้าตาธรรมดาและไม่มีทีท่าว่าจะเป็นนักร้องเสียงทองที่จะขับกล่อมผู้โดยสารให้เคลิบเคลิ้มด้วยเพลงเพราะ
ๆ แบบกอนโดลาที่เวนิสใหญ่
ราคาก็เลยย่อมเยาจ่ายได้ไม่ต้องกลัวกระเป๋าฉีก (ถ้าจำไม่ผิด ๖ ยูโรเป็นเวลานาน
๓๐ นาที?) แต่พวกเราไม่คิดจะลงเรือท่ามกลางแดดเปรี้ยง ๆ ของกลางเดือนเมษายน
จึงเดินย้อนกลับเข้ามาในเมืองผ่านร้านขายอาหารที่เรียงรายสองข้างทาง พี่ร่วมคณะได้ยินได้ฟังมาว่าถ้ามาโคลมาร์แล้วไซร้จะต้องลองชิมเครป
(Crepe) ให้ได้ทีเดียว พวกเราจึงสอดส่ายสายตาหาร้านที่ขายไอ้เจ้าแพนเค้ก
อาหารจานด่วนยอดนิยมของฝรั่งเศสชนิดนี้กันให้กลุ้ม ในที่สุดเจอเข้าร้านนึง
สาวน้อยผู้ขายเธอง่วนอยู่คนเดียว ทั้งขายไอศครีมขายเครป
อ่านเมนูที่กระจกตู้หน้าร้านมีให้เลือกทั้งแบบหวานและแบบเค็ม ราคาแบบหวานคือราดด้วยครีมช็อคโกแล็ตเฉย
ๆ ถูกกว่าแบบเค็มที่ใส่ไส้ต่าง ๆ แล้วแต่เลือก หลังจากสั่งไปแล้วลูกค้าต้องใจเย็น ๆ
เพราะกว่าสาวน้อยเธอจะค่อย ๆ เยื้องย่างไปเปิดตู้แช่หยิบถังแป้งที่ผสมไว้แล้วออกมาวาง
ตามด้วยกล่องเห็ดและเนยแข็ง ค่อย ๆ
หยอดแป้งใส่ลงในกระทะกลม ค่อย ๆ เกลี่ยและรอคอยให้แป้งได้ที่อย่างใจเย็น
ลูกค้าอย่างเราก็แอบถอนใจไปหลายรอบ
นึกในใจว่าถ้าเป็นช่วงกลางวันที่ลูกค้าหิวซ่กคอยคิวกันยาว ๆ น้องหนูเธอจะทำอย่างไรกันล่ะนี่
ได้เครปมาแล้วในราคาชิ้นละสี่ยูโรกว่า ๆ
ก็ไปนั่งกินที่ม้านั่งที่มีเรียงรายอยู่ทั่วไป
ซึ่งข้อนี้ผู้เขียนให้คะแนนเต็มสิบไปเลย
เพราะไปไหนในโคลมาร์ก็มีที่ให้หย่อนก้นนั่งพักหากเมื่อย หรืออยากนั่งกินน้ำมองดูผู้คนหรือดูแผนที่
ฯลฯ อีกทั้งยังมีป้ายบอกทางไปห้องน้ำสาธารณะหลายแห่งอีกด้วย สมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวดีแท้
กินเครปเพิ่มพลังกันแล้ว
ดูเวลาเหลืออีกไม่มากนักก็จะได้เวลาเดินทางกลับสตราซบวร์ก
เลยถือโอกาสเดินไปเข้าห้องน้ำที่สำนักงานท่องเที่ยวเป็นการสั่งลาเสียอีกหนึ่งรอบ
ซื้อของที่ระลึกเป็นผ้าเช็ดจานผ้าฝ้าย ๑๐๐% ลายยอดนิยมคือนกกระสา ซึ่งเป็นสัตว์ประจำภูมิภาค Alsace (หรือ Elsass ในภาษาเยอรมัน) แวะซุปเปอร์มาร์เกตซื้อน้ำไว้กินบนรถไฟ ฯลฯ
แล้วเดินเรื่อย ๆ กลับไปทางปาร์คที่ผ่านมาเมื่อเช้า
แต่แม่เจ้าแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นสวนสาธารณะแห่งเดียวกัน เนื่องจากในช่วงเวลาบ่ายแก่ที่อากาศสดใสเช่นนี้ผู้คนเดินยืนนั่งนอนกันให้ครึ่ดไปหมด
ดีที่แวะถ่ายรูปกันไปแล้วเมื่อเช้า แต่พี่ ๆ
สองคนยังขอเก็บตกเผื่อเหนียวไว้อีกหนึ่งรอบ ก็ไม่ว่ากัน
ระหว่างเดินไปสถานีรถไฟก็คุยกันไปว่าแต่ละคนจะให้คะแนนเมืองนี้เท่าไหร่ดีจากคะแนนเต็มสิบ
พี่สาวผู้เขียนว่าให้ ๘.๕ พี่อีกคนให้ ๗.๕ โดยให้เหตุผลว่าดอกไม้น้อยไปหน่อย
ส่วนผู้เขียนเป็นพวกไม่กดคะแนนเลยยกให้ไปเลย ๙ คะแนน
(ก็ไม่รู้จะกั๊กไอ้อีกหนึ่งคะแนนที่เหลือไปทำไม !?)
สำนักงานท่องเที่ยว
วอลแตร์***ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่โคลมาร์เป็นเวลา
๑๓ เดือนระหว่างปี ๑๗๕๓-๑๗๕๔ เคยบรรยายเมืองไว้ว่า "ครึ่งเยอรมัน
ครึ่งฝรั่งเศส แต่เป็นอินเดียนแดงแท้เทียว" (mi-allemande,
mi-francaise et tout à fait iroquoise) เอ๊ะ ท่านหมายถึงอะไรกันนะ
ยังไงก็แล้วแต่คณะเรานั้นสรุปแล้วคือปลื้มปริ่มกันทุกคน
เรียกว่าไม่ผิดหวังที่ดั้นด้นมา
Frédéric Auguste Bartholdi ภาพจากวิกิพีเดีย
*Frédéric
Auguste Bartholdi เจ้าของผลงานอนุสาวรีย์เทพีสันติภาพที่นิวยอร์กที่ทุกคนต่างรู้จักกันดีถือกำเนิดที่โคลมาร์ในวันที่
๒ สิงหาคม ๑๘๓๔ หลังเขาเสียชีวิต ภริยาม่ายของเขาได้ยกบ้านเกิดของเขาให้กับเมือง
ซึ่งทางเมืองก็ได้เปิดบ้านหรูหราขนาดใหญ่จากศตวรรษที่ ๑๘ ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ (Bartholdi &Son
Museé)
ในนั้นจะมีทั้งรูปปั้นเต็มตัว ครึ่งตัว ภาพวาดและภาพเขียน
รวมทั้งเครื่องเรือนของครอบครัวและของที่ระลึกของบาร์โธดีเอง
ชั้นสองของพิพิธภัณฑ์จะยกห้องทั้งห้องให้เป็นที่แสดงผลงานที่สำคัญที่สุดของเขา
ได้แก่ "La Liberté éclairant le Monde"
(อิสรภาพให้แสงสว่างแก่โลก) หรือที่ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อของอนุสาวรีย์สันติภาพนั่นเอง
โดยจะมีเอกสารที่ทำให้เราสามารถย้อนรอยการถือกำเนิดของหนึ่งในอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกได้
นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้คิดประดิษฐ์อนุสาวรีย์อื่น ๆ อีก ๓๕ ชิ้นที่กระจายอยู่ทั่วโลกอีกด้วย
**
Èglise des Dominicains สร้างเสร็จในปี ๑๓๔๖
ตามการว่าจ้างของกลุ่มโดมินิกันของโคลมาร์และเป็นหนึ่งในตัวอย่างโบสถ์ที่สวยที่สุดของสถาปัตยกรรมนิกายที่ดำรงชีวิตด้วยการขอทานจากยุคกลาง
ในโบสถ์ (เสียค่าเข้าชม ๒ ยูโร) จะมีภาพเขียน "La Vierge au Buisson
de Roses" (มาดอนนากับพุ่มกุหลาบ) ผลงานหลักของ Martin
Schongauer ศิลปินชาวโคลมาร์ที่วาดเสร็จในปี ๑๔๗๓
Voltaire ภาพจากวิกิพีเดีย
*** ชื่อจริง คือ Francois-Marie Arouet แต่มักเป็นที่รู้จักกันในนามปากกาว่า Voltaire เป็นปราชญ์ นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ในยุคเรืองปัญญาของฝรั่งเศส
การส่งออกอาวุธ
แม้ว่าในปีที่ผ่านมาประเทศเยอรมันจะอนุมัติการส่งออกอาวุธน้อยลง
กระนั้น มูลค่าก็สูงที่สุดเป็นอันดับที่ ๓
โดยรวมมีการอนุญาตการส่งออกสินค้าอาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่า ๖.๒๔ พันล้านยูโร เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้ามีการลดถอยลงราว
๖๐๐ ล้านยูโรหรือ ๙% ตามรายงานการส่งออกอาวุธประจำปี
๒๐๑๗ ที่ได้รับการลงมติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายนที่ผ่านมา ปีที่ส่งออกสูงเป็นประวัติการณ์ ได้แก่ ปี ๒๐๑๕
และ ๒๐๑๖ รัฐบาลเยอรมันกล่าวถึง
“นโยบายการส่งออกอาวุธที่เข้มงวดและเต็มไปด้วยความรับผิดชอบ” ตรงกันข้าม
องค์การสิทธิมนุษยชนได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
ตามรายงานของสถาบันวิจัยเสรีภาพ Sipri
ที่สตอคโฮล์มที่ได้รับการเสนอเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ประเทศเยอรมันเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสี่ของโลก ผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ตามรายงานการส่งออกอาวุธ ในปี ๒๐๑๗
รัฐบาลเยอรมันอนุมัติสินค้าอาวุธสำหรับประเทศที่เรียกว่าประเทศที่สามที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปและนาโตมากขึ้น มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ ๓.๗๙ พันล้านยูโร ในปี ๒๐๑๖ ยังเป็น ๓.๖๗ พันล้านยูโร เนื่องมาจากแผนการส่งออกเดี่ยวบางชิ้นที่มีมูลค่าการว่าจ้างสูง ในจำนวนนี้รวมถึงการอนุมัติการส่ง Fregatte
ไปยังประเทศอัลจีเรียและเรือดำน้ำไปยังประเทศอียิปต์ การส่งออกสินค้าอาวุธยุทโธปกรณ์ไปยังประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าเป็น
๑.๐๕ พันล้านยูโร
ประเทศผู้รับที่สำคัญที่สุด ได้แก่ อียิปต์ อินเดีย
อินโดนีเซียและปากีสถาน
องค์การนิรโทษภัยสากลวิจารณ์นโยบายส่งออกอาวุธของเยอรมันว่าเป็นส่วนหนึ่งของ
“ความไม่รับผิดชอบและไม่โปร่งใส”
การอนุมัติจำนวนมากประกอบด้วยประเทศที่มีสิทธิมนุษยชนเลวร้ายหรือประเทศที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งที่ใช้อาวุธอย่างรุนแรง
อันตรายจากการก่อการร้าย
ตามรายงานของ
Europol
อันตรายจากการก่อวินาศกรรมโดยผู้ก่อการร้ายยังคงสูงอยู่
แม้หลังความพ่ายแพ้ขององค์การก่อการร้าย IS
ที่ประเทศอิรักและซีเรีย
รายงานการก่อการร้ายของ Europol ที่ได้รับการเสนอที่กรุงเฮกเมื่อวันที่
๒๐ มิถุนายนที่ผ่านมา ระบุว่าในปีที่ผ่านมาในยุโรป มีการก่อวินาศกรรมด้วยแรงจูงใจอิสลามมากขึ้นสองเท่า แต่เป็นผู้ก่อการเดี่ยวที่มาจากสหภาพยุโรปและพัฒนาเป็นพวกหัวรุนแรงมากขึ้น จำนวนเหยื่อที่เสียชีวิตก็น้อยลงอย่างชัดเจน ในปีที่ผ่านมาประเทศสมาชิก EU ๙ ประเทศรายงานการก่อวินาศกรรมรวม ๒๐๕ กรณี ในจำนวนนี้ Europol นับรวมการจู่โจมที่ป้องกันได้ก่อนและการจู่โจมที่ล้มเหลวด้วย ซึ่งมากกว่าในปีก่อนหน้า ๔๕% ประชาชน ๖๘ คนถูกสังหาร และ ๘๔๔ คนบาดเจ็บ ซึ่งน้อยกว่าในปี ๒๐๑๖ ที่มีเหยื่อผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น
๑๔๒ คนอย่างชัดเจน กระนั้น Catherine
De Bolle ผู้อำนวยการ Europol
กล่าวว่าอันตรายยังคงอยู่
การต่อสู้กับการก่อการร้ายยังคงเป็นเรื่องอันดับแรกสุดสำหรับยูโรโพล
เจ้าหน้าที่ไต่สวนสามารถประสบความสำเร็จได้เพียงผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลเท่านั้น
วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561
ฟุตบอลโลก ๒๐๒๖
การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์โลกขนาดมหึมาพร้อมผู้เข้าร่วม
๔๘ ทีมในปี ๒๐๒๖ จะมีขึ้นที่สหรัฐอเมริกา แคนาดา รวมทั้งประเทศเม็กซิโก ในการประชุมของสมาคมฟุตบอลโลกเมื่อวันที่ ๑๓
มิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งสามประเทศได้รับเลือก
โดยสามารถเอาชนะประเทศโมรอคโคไปได้
สมาคมที่เป็นสมาชิกฟีฟา ๑๓๔ แห่งลงมติให้กับกลุ่ม ๓ ประเทศจากทวีปอเมริกา
โมรอคโคได้รับคะแนนเสียง ๖๕ คะแนนเสียง
สำหรับแคนาดาเป็นการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก การลงมติครั้งนี้ทำให้สมาคมฟุตบอลเยอรมัน (DFB) มองว่าการลงสมัครแข่งขันเป็นเจ้าภาพการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรปในปี ๒๐๒๔ ของตนเองมีโอกาสดีขึ้น Reinhard Grindel ประธาน
DFB
กล่าวว่าสามารถมองได้ว่าเป็นสัญญาณว่าส่วนใหญ่ของสมาคมเลือกโครงสร้างพื้นฐานที่ดีและมีอยู่แล้วและความยั่งยืน
ซึ่ง DFB ก็ทำตามแนวคิดนี้
ค่ายรถเฟาเวกับโทษปรับ
ขณะนี้โฟล์คสวาเกนต้องจ่ายค่าปรับในประเทศเยอรมันด้วย ในกรณีอื้อฉาวดีเซล
คณะอัยการบราวน์ชไวก์ได้ลงโทษปรับกลุ่มบริษัทจำนวนหนึ่งพันล้านยูโร โฟล์คสวาเกนได้เปิดเผยเมื่อวันที่ ๑๓
มิถุนายนที่ผ่านมา ว่าโฟล์คสวาเกนยอมรับค่าปรับและเป็นการประกาศถึงความรับผิดชอบของบริษัท ตามการตัดสินของศาล มีการกระทำผิดต่อหน้าที่กำกับดูแลในส่วนพัฒนาการรวมที่เกี่ยวพันกับการตรวจสอบยานยนต์ ซึ่งตามข้อมูลของคณะอัยการ
มีส่วนเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตั้งแต่กลางปี ๒๐๐๗ จนถึงปี ๒๐๑๕ มีการจำหน่าย นำส่งให้ผู้รับและนำเข้าสู่วงโคจรยานยนต์
๑๐.๗ ล้านคันพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลชนิด EA 288
(รุ่นที่ ๓) ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา รวมทั้ง EA 189
ทั่วโลกพร้อมการใช้งานของซอฟท์แวร์ที่ผิดกฎหมาย ตามการประเมินของศาล จำนวน ๑
พันล้านยูโรเป็นเงินค่าปรับที่สูงที่สุดที่เคยมีการลงโทษในประเทศเยอรมัน
แรกทีเดียวแคว้นนีเดอร์ซักเซนเป็นผู้ได้รับเงินจำนวนนี้ โดยควรมีการโอนเงินภายใน ๖ สัปดาห์ Klaus Ziehe จากคณะอัยการบราวน์ชไวก์กล่าวว่า
ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมอบให้กับองค์การกุศล
จะเกิดอะไรขึ้นกับเงินค่าปรับนี้ มีการเสนอแนวความคิดต่าง ๆ กัน พรรค FDP และสมาคมผู้เสียภาษีในแคว้นนีเดอร์ซักเซนประสงค์ให้เงินไหลเข้าสู่การปลดหนี้ของแคว้น
สมาคมผู้พิพากษาของแคว้นเรียกร้องให้มีตำแหน่งงานมากขึ้นในฝ่ายยุติธรรม ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทโฟล์คสวาเกนต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงมากในกรณีอื้อฉาวดีเซล ลำพังในอเมริกาเหนือจนถึงปัจจุบันโฟล์คสวาเกนต้องจ่ายชำระค่าเสียหายและโทษปรับราว
๒๕ พันล้านยูโร อย่างไรก็ดี
ธุรกิจเป็นไปด้วยดีอีกครั้งหนึ่ง
ท้ายสุดโฟล์คสวาเกนประสบความสำเร็จในการขายสูงเป็นประวัติการณ์ ในปี ๒๐๑๗ กลุ่มบริษัทมีรายได้มากกว่า ๑๑
พันล้านยูโร ตามข้อมูลของโฆษก
กลุ่มบริษัทยังมีคดีฟ้องร้องจากลูกค้ารวมทั้งสิ้น ๑๙,๐๐๐ ราย ผู้ฟ้องร้องรู้สึกว่าถูกหลอกลวงและเรียกร้องการชดเชยความเสียหายหรือต้องการคืนรถ
ผู้ลี้ภัยกับอาชญากรรม
ผู้ลี้ภัยประกอบอาชญากรรมที่ใช้ความรุนแรงบ่อยแค่ไหน
? ตามสถิติอาชญากรรมของตำรวจประจำปี ๒๐๑๗ มีข้อมูลดังต่อไปนี้
- สำหรับผู้ลี้ภัยสถิติใช้คำว่า “ผู้อพยพ” ซึ่งหมายถึงผู้ร้องขอลี้ภัย ผู้ลี้ภัยที่ได้รับการยอมรับ ผู้ลี้ภัยตามจำนวนที่กำหนด ผู้ที่ทนยอมให้อยู่และประชาชนที่อยู่แบบผิดกฎหมายในประเทศเยอรมัน
- โดยรวม ๘.๕% ของการกระทำผิดทั้งหมดตำรวจสงสัยผู้ลี้ภัย ที่น่าสังเกตคือต้องสงสัยว่าก่อเหตุต่อชีวิต (ฆาตกรรม ฆ่าคนโดยไม่เจตนา) การทำร้ายร่างกายอย่างหนักและการข่มขืนเกิดขึ้นบ่อย โดยมีจำนวนราว ๑๕% ของผู้ต้องสงสัยทั้งหมด จำนวนนี้สูงมากกว่าสัดส่วนของผู้ลี้ภัยในจำนวนประชากรมาก
- ความเป็นจริงนี้สามารถอธิบายได้ด้วยโครงสร้างด้านอายุ ผู้ขอลี้ภัยมีอายุเฉลี่ย ๒๙.๔ ปี หรือน้อยกว่าอายุเฉลี่ยของประชากรเกือบ ๑๕ ปี โดยทั่วไปประชาชนในกลุ่มอายุนี้กระทำผิดกฎหมายส่วนใหญ่
- เยาวชนและผู้ใหญ่อายุน้อยวัยระหว่าง ๑๕-๔๐ ปีในประเทศเยอรมัน (ไม่ขึ้นกับถิ่นที่มา) ทำผิดราว ๗๕% ของการกระทำผิดที่ใช้ความรุนแรง แต่มีจำนวนเพียง ๓๐% ของประชากร
- ซีเรีย อิรักและอัฟกานิสถานเป็นผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ แต่ตามสถิติไม่ค่อยกระทำผิดกฎหมาย ที่เป็นผู้ลงมือกระทำผิดมาก ได้แก่ ผู้ขอลี้ภัยจากกลุ่มประเทศ Maghreb (ประเทศในอัฟริกาเหนือและประเทศอาหรับ) และจอร์เจียน
- เมื่อใดที่ผู้ลี้ภัยได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ลี้ภัย อัตราการประกอบอาชญากรรมภายใต้ผู้ลี้ภัยจะลดลงอย่างชัดเจน ผู้ที่มีสิทธิขอลี้ภัยและผู้มีสิทธิได้รับความคุ้มครองมีจำนวนเพียง ๐.๕% ของผู้ต้องสงสัยทั้งหมด และทำให้เป็นผู้ที่ซื่อตรงต่อกฎหมายมากกว่าชาวเยอรมัน
ในปี ๒๐๑๕
มีคำร้องขอลี้ภัยในประเทศเยอรมันได้รับการปฏิเสธ ๙๑,๕๑๔ กรณี มีผู้เดินทางออกจากประเทศ ๕๙,๕๖๙ กรณี ในปี
๒๐๑๖ ได้รับการปฏิเสธ ๑๗๓,๘๔๖ กรณี เดินทางออกนอกประเทศ ๘๐,๗๒๓ กรณี ปี ๒๐๑๗ คำร้องถูกปฏิเสธ ๒๓๒,๓๐๗ กรณี
เดินทางออกไป ๕๕,๒๖๐ กรณี
CDU แคว้นนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลน
พรรค
CDU
แคว้นนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลนให้การสนับสนุนหัวหน้าพรรคอย่างแน่วแน่ ในการประชุมพรรคที่บีเลเฟลด์ตัวแทนพรรคได้เลือก
Armin Laschet ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเป็นครั้งที่สามติดต่อกันด้วยคะแนนเสียง
๙๖.๓% ซึ่งเป็นผลการเลือกตั้งที่ดีที่สุดของเขาจนถึงปัจจุบัน โดยเขาเป็นนายก ฯของแคว้น
ผู้นำรัฐบาลผสมดำ-เหลืองที่ Düsseldorf ด้วย ในปี ๒๐๑๒
ขณะยังเป็นนักการเมืองฝ่ายค้านเขาได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียงเพียง ๘๐.๓% ให้เป็นหัวหน้าพรรคประจำแคว้นเป็นครั้งแรกต่อจาก Norbert Röttgen สำหรับสมาชิกพรรคจำนวนมากเห็นว่า
Laschet ในครั้งกระนั้นยังเป็นเพียงผู้สมัครที่จำใจต้องเลือก
(เพราะไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว) ในปี ๒๐๑๖
ในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคของแคว้นเขาได้รับคะแนนเสียง๙๓.๔% คะแนนเสียงเห็นด้วย ๕๔๑ คะแนน ไม่เห็นด้วย ๒๑
คะแนน งดออกเสียง ๔ คะแนนและคะแนนเสีย ๑ คะแนนของวันที่ ๑๑ มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นการแสดงความรู้สึกพึงพอใจกับการทำงาน
๑ ปีของรัฐบาลของเขา ในการประชุมพรรคหัวหน้าพรรคได้ใช้เวลาเกือบ ๑
ชั่วโมงไปในการปราศรัยเรื่องความสำเร็จของรัฐบาลของแคว้น
วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561
ค่ำคืนแห่งการต้องมนตรา
เมื่อเย็นวันที่ ๒๔
พฤษภาคมที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมงาน "An Enchanted Thai Evening" ที่จัดโดยสถานกงสุลใหญ่
นครแฟรงค์เฟิร์ต ณ โรงละครนานาชาติ แฟรงก์เฟิร์ต ด้วยความอนุเคราะห์ของเพื่อนรักเพื่อนซี้ที่มารับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
นครแฟรงก์เฟิร์ต และนับเป็นหนึ่งในทีมประเทศไทย
แรกเริ่มที่เพื่อนชวนมางานวัฒนธรรมไทยก็ยังสองจิตสองใจ มันคืออะไรงานวัฒนธรรมไทย ?
ออกร้านขายอาหาร-ผลไม้ ผลิตภัณฑ์ไทย ประกอบการแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างที่เคยเห็น ?
แต่พอสอบถามแล้วได้ความว่ามีการแสดงโขนของกรมศิลปากรก็ไม่ต้องใช้ความคิดให้มากความ
จัดไปสิเจ้าคะ รออะไร!!!
เอาละมาถึงงานกันแล้ว
ขณะรายงานตัวเจ้าหน้าที่ได้แจกแผ่นพับโปรแกรมงาน
ซึ่งมีการอธิบายคร่าว ๆ ถึงการแสดงที่จะมีในวันนั้น ได้แก่
โขนและระบำจากสี่ภาคของไทย อันนี้นับว่าดีมากทีเดียว เนื่องจากแขกรับเชิญนั้น อย่าว่าแต่ฝรั่งแขกจีนจาม
แม้แต่ไทยแท้อย่างผู้เขียนเอง ก็ยังมีความรู้เกี่ยวกับศิลปะการแสดงของไทยน้อยมาก
ข้อมูลที่ได้อ่านช่วยได้มากในเรื่องของความเข้าใจเบื้องแรกว่าอะไรเป็นอะไร ทำให้สามารถติดตามการแสดงได้อย่างสนุกสนาน
ไม่ต้องมานั่งสนเท่ห์ว่านี่มันอะไรกันหนอ
นอกจากนั้น ก่อนเริ่มการแสดงยังมีการโหมโรงด้วยสไลด์เกี่ยวกับความเป็นมาของโขนและการฝึกสอนผู้แสดง โรงละครนานาชาติแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่ ทำให้สามารถติดตามได้อย่างใกล้ชิด
และระบบเสียงก็กระหึ่มชัดเจน
เข้าใจว่าแม้จะนั่งแถวหลัง ๆ ก็ไม่น่ามีปัญหาเกี่ยวกับการรับฟัง
ขนาดของเวทีเมื่อแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับนักดนตรีก็เหลือไม่มากนัก
แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการละเล่นเลยแม้แต่น้อย ค่ำคืนของเราเริ่มขึ้นด้วยโฆษกขึ้นมากล่าวต้อนรับแขกและเชื้อเชิญกงสุลใหญ่ของเราขึ้นกล่าวเปิดงานสั้น
ๆ ตามด้วยสไลด์ที่ว่าและเข้าเรื่องกันเลย เริ่มจากตอนที่นนทุกข์ได้รับนิ้วเพชรที่มีความพิเศษตรงที่ชี้ใครแล้วทำให้ถึงตายมาจากพระศิวะ
แต่ใช้ไปทางที่ผิดฆ่าใครต่อใครไปหลายคน พระศิวะทรงกริ้วมาก เลยส่งพระวิษณุมาปราบ
นนทุกข์หลงกลเผลอทำร้ายตัวเองจนบาดเจ็บจากนิ้วเพชร
แต่ก็ยังไม่วายรู้สึกว่าตัวเองถูกปฏิบัติต่ออย่างไม่ยุติธรรม
พระศิวะจึงทรงท้าให้นนทุกข์มาเกิดใหม่เป็นยักษ์ที่มีอำนาจมากมีถึงสองหน้ายี่สิบแขน ตัวพระองค์เองจะอวตารมาเกิดเป็นคนธรรมดาเพื่อมาปราบยักษ์ ซึ่งต่อมานนทุกข์ได้มาเกิดใหม่เป็น
"ทศกัณฐ์" กษัตริย์แห่งกรุงลงกา
ส่วนพระวิษณุอวตารเป็นพระราม เจ้าชายแห่งเมืองอโยธยา
เรื่อยมาถึงตอนสีดาอ้อนให้พระรามไปตามจับกวางทองมาให้นางเลี้ยง แม้พระลักษณ์จะห้ามปราบ แต่ด้วยความรักเมีย
พระรามก็ออกตามกวางทอง (ปลอม) ไป
ข้างสีดาที่รอท่าอยู่ในป่าได้ถูกทศกัณฐ์ลักพาตัวไป ฉากถัดไปเป็นตอนที่พระรามบรรทมหลับอยู่ในป่า
หนุมานมาเห็นเข้า ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาลิงก็เขย่าต้นไม้ไม่อยู่สุข จนพระลักษณ์ที่เฝ้าพระรามอยู่หมดความอดทนต้องลุกขึ้นมาหมายจะฆ่าหนุมาน
แต่โดนหนุมานแย่งอาวุธไป
พระลักษณ์ต้องไปปลุกพระเชษฐาและทูลเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น หนุมานเข้าเฝ้าถวายตัวเป็นทหารรับใช้และอาสาจะพาพรรคพวกมาเป็นทหารด้วย
ต่อมามีการรบกันระหว่างฝ่ายพระรามพระลักษณ์และพลลิงกับฝ่ายทศกัณฐ์พร้อมพลยักษ์ ก่อนที่พระรามจะได้ตัวสีดาคืนมา ฯลฯ เรียกว่าตลอดการแสดงหนึ่งชั่วโมงเต็มผู้เขียนนั่งนิ่ง
ตาไม่กระพริบ แถมอยากมีลูกตามากกว่านี้จะได้แบ่งดูได้ทั่วถึง
มิเช่นนั้นมัวจ้องพระรามก็เห็นพระลักษณ์น้อยไป ถ้ามัวใส่ใจเครื่องแต่งกายก็พลาดสีหน้าอากัปกิริยาหรือท่าเต้น
ตอนที่ผลัดกันรุกผลัดกันรับระหว่างการสู้รบและพระรามขึ้นเหยียบทศกัณฐ์ได้รับเสียงฮือฮาจากผู้ชมเป็นอันมาก
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปกันรัว ๆ
ขนาดว่าเราเป็นคนไทยที่เคยดูโขนมาแล้วหลายต่อหลายครั้งก็ยังตื่นตาตื่นใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ดูใกล้ชิดแทบจะติดขอบเวที
กระทืบเท้ากันแต่ละทีนี่คือสนั่นลั่นโลกค่า (เพิ่งซึ้งถึงคำเปรียบเปรยนี้ บอกจริง)
หลังจบโขนด้วยความชื่นชมโสมนัสก็มีการหยุดพักให้ผู้ชมกินน้ำ
เข้าห้องน้ำ ยืดแข้งยืดขา ก่อนกลับเข้าไปดูการแสดงระบำสี่ภาค ที่เริ่มด้วยวิดีทัศน์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยแนะนำสถานที่ต่าง
ๆ ในแต่ละภาคของไทยที่ทำได้ดีมาก
ภาพสวยสดและต้องสารภาพว่าหลายต่อหลายที่ไม่รู้จักไม่เคยเห็น
แต่อาจเป็นได้ว่าผู้เขียนเฟอะฟะไปเองด้วยเป็นคนกรุงเทพมาแต่เกิด
สมัยอยู่เมืองไทยก็ไม่ใช่นักเที่ยวและช่วงที่มาอยู่เยอรมันแล้วก็มีสถานที่ท่องเที่ยวใหม่
ๆ เกิดขึ้นมากมาย จบสไลด์ก็เริ่มรำชุดแรกจากภาคเหนือ
เป็นรำโคม/ดอกไม้แบบล้านนา ในแผ่นพับอธิบายว่าเป็นการแสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัย
(พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์)
และคิดค้นขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองสันติสุขและความเจริญมั่งคั่งในพื้นที่ ต่อมาเป็นการแสดงรำโนราห์และซัดชาตรีของภาคใต้
ว้าย ๆ พระรามพระลักษณ์ของเรากลายมาเป็นนักรำซัดชาตรี มือไม้ช่างอ่อนจริง ๆ พ่อเจ้าประคุณ
ส่วนนักแสดงหญิงนั้นไม่ต้องพูดถึง
แต่ละคนหน้าตาจิ้มลิ้ม รำไปยิ้มหวานไป
งานนี้ต้องมีผู้ชมชายตกหลุมรักสาวไทยเข้าสักคนสองคนเป็นแน่
ในแผ่นพับอธิบายถึงรำโนราห์ว่าเป็นศิลปะการแสดงเก่าแก่ที่สะท้อนถึงการเต้นเคลื่อนไหวตัวของ
"กินนรี" (สัตว์แสนสวยในเทพนิยาย ครึ่งนกครึ่งสตรี) ส่วนรำซัดชาตรีประดิษฐ์คิดค้นโดยกองประณีตศิลป์จากการดัดแปลงท่ารำของละครชาตรี
มีความคล้ายกับระบำโนราห์
แต่มีชีวิตชีวามากกว่าและผู้รำประกอบด้วยทั้งหญิงและชาย ชุดต่อไปเป็นการแสดงจากภาคกลาง โดยเป็นการต่อสู้ที่แสดงศิลปะการต่อสู้เก่าแก่ของไทย
ผู้แสดงรายหนึ่งใช้ไม้พลองต่อสู้กับผู้แสดงอีกท่านที่ใช้มือเปล่า
คำอธิบายระบุว่าเป็นหนึ่งในการต่อสู้แบบไทยที่ใช้กันแพร่หลายในหมู่ชายฉกรรจ์เพื่อป้องกันตัว
ชุดนี้ได้หัวเราะกันพอหอมปากหอมคอสลับกับการวี้ดว้ายหวาดเสียวเอาใจช่วยผู้แสดงทั้งสองท่านที่คล่องแคล่วว่องไว
กระโดดตีลังกา คุ้น ๆ ว่าน่าจะเป็นผู้แสดงท่านเดียวกับหนุมานหรือพลลิงคนในคนหนึ่งก่อนหน้านี้
เสร็จจากการต่อสู้ก็ตามมาติด ๆ ด้วยการรำฉิ่งฉับ ฉิ่งฉับส่งเสียงเร้าใจมาก
ฟังกันเพลินไปทีเดียวจนการแสดงจบไปไม่รู้ตัว
เหลืออีกหนึ่งภาคคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เปิดตัวด้วยการรำ
"ภูไท" ข้อมูลตามแผ่นพับคือเป็นการแทนบุคลิกท้องถิ่นและลักษณะการใช้ชีวิตของชาวภูไทที่เป็นกลุ่มชนกลุ่มใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อุ๊ย
พระรามพระลักษณ์กลายมาเป็นชาวภูไทไปได้อย่างไรในชั่วไม่กี่นาที อเมซิ่งจริง ๆ พี่น้อง
ชุดนี้ผู้แสดงใส่ชุดม่อฮ่อมสะพายย่าม คนภูไทคงเป็นชาวบ้านที่มีความสุข
เพราะเต้นไปยิ้มหัวเราะกันไปจนคนดูพลอยสนุกตามไปแบบอดใจไม่อยู่ จบชุดนี้ตามด้วย
"รำกะลา"
ซึ่งคิดค้นขึ้นโดยการผสมผสานกะลามะพร้าวกับท่ารำที่สนุกสนานร่าเริงบันเทิงใจสะท้อนการใช้ชีวิตของคนชนบท
จบการแสดงด้วยการที่ผู้แสดงถือธงชาติไทยและเยอรมันออกมาร่ายรำสื่อถึงความสัมพันธ์ไทย-เยอรมันที่เน้นเฟ้นมาหลายสิบปี
ก่อนปิดงานด้วยการมอบช่อดอกไม้ให้กับคณะนักแสดงจากกรมศิลปากรและเชื้อเชิญทีมประเทศไทยและตัวแทนฝ่ายเยอรมันขึ้นไปถ่ายรูปร่วมกับคณะนักแสดงนักดนตรีและผู้เกี่ยวข้อง
คนดูอย่างผู้เขียนก็นั่งยิ้มจนเมื่อยแก้ม
เสียดายมากที่ไม่มีการแถม แต่แค่นี้นักแสดงก็คงเหนื่อยน่าดู
เนื่องจากแต่ละคนไม่ได้แสดงกันคนละชุดเดียว
หากต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าภายในเวลาอันรวดเร็วเพื่อสลับสับเปลี่ยนกันมาร่ายรำชุดแล้วชุดเล่า
จึงขอชื่นชมคณะนักแสดงจากใจจริงที่แสดงความเป็นมืออาชีพด้วยการแย้มยิ้มตลอดเวลา
ทำให้ผู้ชมสนุกสนานตลอดระยะเวลากว่าสองชั่วโมง ไม่เคยเบื่อเลยแม้แต่วินาทีเดียว
และที่ลืมไม่ได้ก็คือทีมไทยแลนด์ของเรานี่เองที่ทำให้เกิดค่ำคืนที่ดื่มด่ำดั่งตรงมนตราสมชื่องานจริง
ๆ Bravo !!! Encore !!!
โดย “เอื้อยอ้าย”
วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561
ระวังกลโกงธุรกิจรถเช่า
สมัยที่เด็ก
ๆ ยังเป็นนักเรียนกันอยู่นั้น
พอถึงเวลาปิดเทอมใหญ่ก็พากันไปเที่ยวตามธรรมเนียมของคนเยอรมัน
ซึ่งถ้าหากอยู่ในยุโรปก็มักเป็นการเดินทางแบบเหมารวม (Pauschalreise) คือรวมค่าเครื่องบิน ค่าที่พักและอาหารเสร็จสรรพ เมื่อไปถึงที่แล้ว สิ่งที่เราทำกันเป็นปกติคือการเช่ารถเพื่อขับเที่ยวท่องไปที่นู่นที่นี่
จนถึงปัจจุบันก็เป็นไปด้วยดี ไม่เคยมีปัญหา แต่ในช่วงหลัง ๆ
นี้ได้ยินคนบ่นด่าบริษัทให้บริการเช่ารถอยู่บ่อยครั้ง ทั้งคนรู้จักและไม่รู้จัก
จนน่าจะเชื่อได้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นบ่อยจริง ดังกรณีที่เพิ่งอ่านเจอมาหยก ๆ
จากนิตยสารข่าว "สปีเกล"
ผู้เขียนเรื่องนี้เป็นนักหนังสือพิมพ์
เรื่องราวของเขาน่าสนใจจนอดเอามาเล่าสู่กันฟังไม่ได้
คุณ H.G. เล่าว่าเมื่อเร็ว ๆ
นี้เขาและครอบครัวไปท่องเที่ยวพักผ่อนที่ตอนใต้ของประเทศสเปนเป็นเวลาสองสัปดาห์
ก่อนหน้าการเดินทางก็เสิร์ชหารถเช่าในอินเตอร์เน็ต เจอรถที่ถูกใจในราคา ๕๒๑
ยูโร ไปรับและส่งคืนได้ที่สนามบิน Sevilla
ผู้ให้บริการคือบริษัทที่แปลชื่อเป็นไทยได้ว่า "งบประมาณ" ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทให้เช่ารถที่เป็นที่รู้จักที่สุดของโลก
มีสาขา ๓,๕๐๐ แห่งในประเทศต่าง ๆ มากกว่า ๑๒๐ ประเทศ
เมื่อเดินทางไปถึงสนามบินก็เอาใบยืนยันการจองให้พนักงานบริษัทที่เคานเตอร์ดู
พนักงานที่พูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้ ก็เอาแต่พิมพ์อะไรบนแป้นง่วนอยู่เป็นนานสองนาน
ก่อนที่จะหันจอมาให้ดูและขอให้เซ็นชื่อ คุณ H.G. บอกว่าก็เห็นอยู่ว่าราคาบนจอไม่ใช่
๕๒๑ ยูโรตามที่คาด
แต่เนื่องจากเขาจองเครื่องนำทางเพิ่มด้วยและต้องจ่ายค่ามัดจำด้วยก็เลยเซ็นชื่อไป
แล้วรับกุญแจรถมา
หลังจากกลับจากเที่ยวได้ไม่กี่วันก็ได้รับใบเสร็จจากบริษัทเรียกร้องให้จ่ายเพิ่มจาก
๕๒๑ ยูโรเป็นเงินอีก ๘๙๖.๒๕ ยูโร เป็นค่าธรรมเนียม เงินเพิ่มสำหรับค่าบริการต่าง ๆ
เช่น ค่าป้องกันกระจกหน้า ค่าประกันอุบัติเหตุผู้นั่ง ค่าอะไรอื่น ๆ
ที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไรแน่
แต่ที่แน่ ๆ คือพนักงานบริษัทไม่ได้พูดถึงเลยแม้แต่คำเดียว
เจ้าตัวก็นึกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน และน่าจะชี้แจงกันได้อย่างรวดเร็ว เลยโทรศัพท์ติดต่อไปยังคอลเซนเตอร์ของบริษัท พนักงานก็ทำท่าเข้าอกเข้าใจ
บอกว่าปัญหานี้เป็นที่รู้จักกันอยู่ โดยเฉพาะประเทศในยุโรปตอนใต้
แต่ก็พูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นานคุณ H.G. ก็ได้รับคำตอบสั้น
ๆ ทางอีเมลเป็นภาษาอังกฤษว่าเขายอมรับบริการพิเศษต่าง ๆ เอง
ดูได้จากชื่อที่เซ็นตอนท้ายของสัญญา
บริษัทเห็นว่าการเรียกร้องนั้นถูกต้องแล้ว
คุณนี่ก็โทรศัพท์ไปที่คอลเซนเตอร์เล่าเรื่องให้พนักงานฟังอีก
เพราะยังเชื่อว่าตอนที่โทรศัพท์ไปครั้งแรกอาจจะยังเข้าใจกันไม่ถูกต้อง โดยอธิบายว่าพนักงานที่สนามบินไม่ได้ถามเลยว่าอยากได้บริการเพิ่มไหม
ในฐานะลูกค้าควรได้รับการบอกจากผู้ให้เช่า
เป็นเรื่องเป็นไปได้หรือที่ลูกค้าที่จองรถในราคา ๕๒๑ ยูโรจะปุบปับซื้อประกันที่เคานเตอร์เป็นเงินเพิ่มอีกเกือบ
๙๐๐ ยูโร
พนักงานก็บอกว่าจะตรวจสอบเรื่องราวให้
แต่เนื่องจากบริษัทมีข้อมูลบัตรเครดิตของเขาอยู่ก็เลยตัดเงินจำนวน ๘๙๖ ยูโรออกไปเรียบร้อยแล้ว
คุณ H.G.นี่แกก็เลยโทรศัพท์ไปตามองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคและสืบค้นข้อมูลในเน็ต ก็ไปเจอว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาพื้นฐานเลยทีเดียว ผู้ให้เช่ารถได้กำไรทั่วยุโรปปีละกว่า ๑๓๐๐ ล้านยูโร เป็นตลาดที่มีผู้ให้บริการเยอะ
การแข่งขันสูง
ซึ่งตามปกติน่าจะเป็นข้อได้เปรียบสำหรับลูกค้า หากว่าผู้ให้บริการจะไม่พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงเพื่อเพิ่มรายได้
เงื่อนไขก็ดี เพราะบ่อยครั้งลูกค้าที่เช่ารถเหน็ดเหนื่อยมาจากการเดินทางด้วยเครื่องบิน มีลูกค้าคนอื่น ๆ
รอรับบริการอยู่ ส่วนใหญ่พนักงานที่เคานเตอร์พูดภาษาเยอรมันไม่ได้ หากพูดอังกฤษได้ก็งู
ๆ ปลา ๆ
นอกจากนั้นส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับมอบใบสัญญา เพียงแค่ให้ดูจากจอคอมพิวเตอร์
ในกรณีเขาได้รับทางเมลสองสามวันถัดมา
จำนวนผู้ที่ร้องเรียนเพิ่มขึ้นตามการสังเกตการณ์ของศูนย์ผู้บริโภคสหภาพยุโรปที่ประเทศเยอรมัน
(EVZ) ที่ Kehl ปีที่แล้วศูนย์ ฯ นับได้
๒๐๒ กรณี ซึ่งมีทั้งเหตุกับบริษัท
"งบประมาณ" และกับบริษัทให้เช่าอื่น ๆ
ทุก ๆ สองกรณีลูกค้าฟ้องร้องเรื่องถูกให้ทำประกันต่าง ๆ เพิ่มเติม โดยการพูดเป็นคุ้งเป็นแควบ้าง บีบบังคับบ้างหรือไม่ก็แอบใส่เข้ามาดื้อ ๆ
การขายประกันแพง ๆ ยังไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมกลโกงอย่างเดียวที่ใช้
ระหว่างนี้ยังมีว่าจะรับรถได้ก็หลังการทำชุดประกันแล้ว เหมือนเป็นการบีบบังคับหรือการแบล็คเมล์
ในกรณีอื่น ๆ ก็กำหนดค่ามัดจำไว้สูงมาก
หลังการซื้อบริการเพิ่มถึงจะสามารถลดค่ามัดจำลงได้ ที่นิยมทำกันด้วยก็คือรอยขีดข่วนและร่องรอยการใช้งานอื่น
ๆ ที่ตอนรับรถถือว่าเป็นความเสียหายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ต้องบันทึกไว้ในรายงาน
แต่ตอนส่งมอบรถกลับตำหนิติเตียน แล้วหักเงินค่าซ่อมจากเงินมัดจำ
ใครจะไปมัวทะเลาะกับพนักงานบริษัทให้เช่า ถ้าเครื่องบินรออยู่ สิ่งที่คุณ H.G.เรียนรู้จากเรื่องนี้คือชื่อเสียงของบริษัท
"งบประมาณ" นี่ไม่ได้ดีนัก
ในโฟรุมและในหน้าให้คะแนนมีคำว่า "ปอกลอก" "ขี้โกง"
และ "พวกมาเฟีย" ลูกค้าบางคนก็เขียนตัวใหญ่เลยว่า "ไม่เอาอีกแล้ว"
อินเตอร์เน็ตนี่มักพูดกันว่าเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ซื้อและผู้บริโภค ข้อมูลแต่ละเรื่องสามารถเข้าถึงได้ตลอดและทุกที่สำหรับทุกคน การซื้อทั้งหมด
การท่องเที่ยวทั้งหมดได้รับการให้คะแนนและการตัดสิน
พูดกันว่าทุกวันนี้ไม่มีบริษัทธุรกิจใดที่จะยอมบริการลูกค้าไม่ดี
ซึ่งคุณนี่แกก็ว่าไม่จริง เพราะไม่นานหลังจากนั้น ก็ได้รับเมลจากบริษัทอีก โดยระบุว่าสัญญาเช่ามีผลผูกมัดทางกฎหมาย
ลูกค้ามีหน้าที่ต้องอ่านเนื้อหาให้จบก่อนลงนาม
บริษัทเสียใจที่ต้องบอกว่าไม่สามารถคืนเงินให้ได้
ซึ่งคุณ H.G. ก็แย้งว่าในทางปฏิบัติจะทำได้อย่างไรขณะต่อคิวหน้าเคานเตอร์
สัญญาก็ยาว (ของแกยาวหกหน้า) ในฐานะที่เป็นนักหนังสือพิมพ์ แกก็เกิดสนใจอยากรู้ขึ้นมาว่าบริษัทจะว่าอย่างไรต่อคำกล่าวหาของลูกค้า
ก็เลยโทรศัพท์ติดต่อไปที่บริษัทที่ในประเทศเยอรมันขอพูดกับผู้จัดการ แต่คนที่มารับโทรศัพท์กลับเป็นผู้หญิงจากสำนักงานประชาสัมพันธ์ที่บอกมาหลังพูดโทรศัพท์ไม่กี่วัน ว่าเสียดายที่ให้สัมภาษณ์ส่วนบุคคลไม่ได้
แต่บริษัท "งบประมาณ" พร้อมให้คำแถลงต่อคำถามทุกประเภท
คำถามของเขาที่ส่งไปให้บริษัททางเมลก็ตรงประเด็นว่าบริการประกันที่สอดไส้เข้ามานี่เป็นความพลั้งเผลอของพนักงานคนใดคนหนึ่งหรือว่าว่ามีเจตนาและกรรมวิธีซ่อนอยู่เบื้องหลัง ? พนักงานที่เคานเตอร์ได้รับการส่งเสริมให้ใช้วิธีการขายดังกล่าว ? ได้รับเงินค่านายหน้า ? และใครได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นในปริมาณเท่าใด บริษัท "งบประมาณ" ตัวแทนในแต่ละประเทศ สถานี ? หรือพนักงานคนใดคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำประกันแบบหน้าไม่อายนี้ ?
คำถามของเขาที่ส่งไปให้บริษัททางเมลก็ตรงประเด็นว่าบริการประกันที่สอดไส้เข้ามานี่เป็นความพลั้งเผลอของพนักงานคนใดคนหนึ่งหรือว่าว่ามีเจตนาและกรรมวิธีซ่อนอยู่เบื้องหลัง ? พนักงานที่เคานเตอร์ได้รับการส่งเสริมให้ใช้วิธีการขายดังกล่าว ? ได้รับเงินค่านายหน้า ? และใครได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นในปริมาณเท่าใด บริษัท "งบประมาณ" ตัวแทนในแต่ละประเทศ สถานี ? หรือพนักงานคนใดคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำประกันแบบหน้าไม่อายนี้ ?
คำแถลงของบริษัทที่ให้มามีสาระอยู่สองประการ
คือ หนึ่ง
บริษัทภาคภูมิใจในบริการที่ยอดเยี่ยมและทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหา เมื่อใดก็ตามที่เกิดขึ้น
สอง ลูกค้ายอมรับเงื่อนไขในสัญญา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ระบุผ่านการลงนาม สำหรับผู้ที่ประสบเหตุบ่อยครั้งรู้สึกเหมือนการฉ้อโกง
การพิสูจน์ว่าบริษัทเช่ารถอย่างน้อยก็ "ตบตาอย่างจงใจ"
เป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน
ลูกค้าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าไม่ได้รับการชี้แจงถึงบริการเพิ่มเติม ?
หากไปศาลก็ต้องหาคนที่ได้รับความเสียหายอื่น ๆ
จำนวนมากที่เจอเหตุการณ์คล้ายคลึงกัน และหวังว่าผู้พิพากษาจะตระหนักว่าไม่ได้เป็นเพียงกรณีเดียว หากแต่เป็นกลอุบายฉ้อฉล
นักคุ้มครองผู้บริโภคจึงแนะนำมาตรการพึงระวังดังต่อไปนี้
ได้แก่ อ่านสัญญาอย่างระมัดระวังจนจบ ถึงแม้จะกินเวลานาน ถ่ายภาพความเสียหายแม้จะเล็ก
ๆ บนรถในขณะรับมอบ ชำระเงินเพียงภายใต้ข้อแม้ เพื่อให้สามารถยกเลิกได้ง่ายขึ้นในภายหลัง
การที่ลูกค้าจำนวนมากไม่อยากทะเลาะกับบริษัทใหญ่ ๆ ช่วยบริษัทได้มาก ส่วนใหญ่ก็ยอมแพ้ตั้งแต่ได้รับคำตัดสินแรกที่เป็นลบ คนอื่น ๆ ยอมรับการยอมความ
เนื่องจากหวั่นเกรงการต่อสู้กันในศาล
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้เจ้าหน้าที่ได้จัดการกับพฤติกรรมเรียกเงินสูงของผู้ให้เช่ารถ บริษัท Goldcar ที่ตกเป็นของ Europcar ผู้นำตลาดอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๐๑๗ ถูกตัดสินปรับเป็นเงินจำนวนสูงสองครั้ง จากสำนักงานแข่งขันของอิตาลี ในเดือนพฤศจิกายน ๒๐๑๖ จำนวน ๒ ล้านยูโร ในเดือนมกราคม ๒๐๑๘ อีกครั้งหนึ่งจำนวน ๖๘๐,๐๐๐ ยูโร โดยมีการระบุว่าการดำเนินธุรกิจไม่ซื่อสัตย์ การมอบและรับรถไม่โปร่งใส พฤติกรรมการขายต่อลูกค้ามีพฤติกรรมก้าวร้าว ความพึงพอใจของลูกค้า การผูกมัดใจลูกค้าดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับผู้ให้เช่ารถ อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับบริษัท "งบประมาณ" ในความเห็นของคุณ H.G. ความโกรธเคืองของลูกค้าที่ผิดหวังจึงสูงตามไปด้วย ในโฟรุมรถเช่ามีแต่คนก่นด่า
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้เจ้าหน้าที่ได้จัดการกับพฤติกรรมเรียกเงินสูงของผู้ให้เช่ารถ บริษัท Goldcar ที่ตกเป็นของ Europcar ผู้นำตลาดอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๐๑๗ ถูกตัดสินปรับเป็นเงินจำนวนสูงสองครั้ง จากสำนักงานแข่งขันของอิตาลี ในเดือนพฤศจิกายน ๒๐๑๖ จำนวน ๒ ล้านยูโร ในเดือนมกราคม ๒๐๑๘ อีกครั้งหนึ่งจำนวน ๖๘๐,๐๐๐ ยูโร โดยมีการระบุว่าการดำเนินธุรกิจไม่ซื่อสัตย์ การมอบและรับรถไม่โปร่งใส พฤติกรรมการขายต่อลูกค้ามีพฤติกรรมก้าวร้าว ความพึงพอใจของลูกค้า การผูกมัดใจลูกค้าดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับผู้ให้เช่ารถ อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับบริษัท "งบประมาณ" ในความเห็นของคุณ H.G. ความโกรธเคืองของลูกค้าที่ผิดหวังจึงสูงตามไปด้วย ในโฟรุมรถเช่ามีแต่คนก่นด่า
ตามจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่
อย่างที่บอกแล้วว่าผู้เขียนเองก็เคยได้ยินการบ่นว่ามาหลายครั้ง
แต่เพิ่งมาถี่ครั้งขึ้นในระยะหลัง และตราบใดที่ยังไม่เกิดกับตัวเราเอง
เราก็มีแนวโน้มที่จะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว
แต่เนื่องจากว่าโอกาสที่เราจะเช่ารถมาใช้ในต่างประเทศก็ยังคงมีอยู่ ก็เลยอยากนำเรื่องนี้มาให้อ่านกันเป็นอุทาหรณ์
เผื่อใครคิดจะเช่ารถในการเดินทางท่องเที่ยวครั้งหน้า ก็อย่าลืมมาตรการระวังภัยที่เขาแนะนำกัน
ดีกว่าการมารำพึงรำพันทีหลังว่าไม่น่าเลยเรา เน้อออ...
โดย “เอื้อยอ้าย”
ข้อมูล Der Spiegel
เดินไปโรงเรียนดีกว่า
อันตรายในการจราจรบนท้องถนนเป็นฝันร้ายสำหรับผู้ปกครอง
ลูกบอลที่กลิ้งไปที่ถนน แล้วเด็กวิ่งตาม ภาพเหตุการณ์น่ากลัวแบบนี้จะอยู่ในหัว นับแต่สอบทฤษฎีเพื่อทำใบขับขี่ ผู้ปกครองจำนวนมากนิยมขับรถพาลูกไปส่งอนุบาลและโรงเรียนเพื่อความปลอดภัย
ผู้เชี่ยวชาญด้านการจราจรและนักจิตวิทยาแจ้งว่าเป็นข้อสรุปที่ผิด
ใน
“วันเพื่อความปลอดภัยของเด็ก” วันที่ ๑๐ มิถุนายน ซึ่งก่อตั้งโดยกลุ่มทำงานแห่งชาติ
(BAG)
เพื่อความปลอดภัยมากขึ้นสำหรับเด็ก
สมควรที่จะมองดูความเข้าใจผิด ๆ
ของประชาชนจำนวนมากตามความคิดของผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่
ควรปกป้องเด็กนานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
เมื่อเด็กโตขึ้นแล้ว ก็ผ่านพ้นเรื่องอันตราย ๆ โดยอัตโนมัติ
ข่าวดีคือ
จำนวนเด็กที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในประเทศเยอรมันมีแนวโน้มระยะยาวลดลงอย่างชัดเจน ในปี ๑๙๗๘ ที่มีการเสนอตัวเลขทั่วประเทศเป็นครั้งแรก
ยังมีเด็กจำนวนราว ๗๒,๐๐๐ คนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
ตามการคำนวณของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
มากกว่าในปี ๒๐๑๖ ราว ๒.๕ เท่า กระนั้น
ตัวเลขตามความเป็นจริงไม่ได้สะท้อนความรู้สึกที่กระจายอยู่ในบ้านของผู้ปกครองจำนวนมาก
ไม่สมเหตุสมผล
เนื่องจากความแตกต่างที่หยั่งลึกระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ชาวเยอรมันเกือบทุก ๆ สองคนเห็นว่าการประชุมสุดยอด G7 ในรูปแบบปัจจุบันไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไป ในการสอบถามของสถาบันวิจัยความคิดเห็น YouGov
ภายใต้การมอบหมายของสำนักงานตัวแทนข่าวเยอรมัน ๒๖%
เห็นด้วยให้ตัดขาดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกาออกจากการประชุมสุดยอด
อย่างน้อยก็ชั่วคราว ๑๙%
มีความเห็นว่ากลุ่มประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจชั้นนำควรถูกยกเลิกไปโดยสิ้นเชิง เพียงทุก ๑ ใน ๓ คน (๓๓%)
เห็นด้วยกับการคงไว้ของการพบปะที่มีมานานกว่า ๔๐ ปีแล้ว Peter Beyer ผู้ประสานงานของรัฐบาลเยอรมันสำหรับความสัมพันธ์ทรานส์แอตแลนติกยังคงเห็นว่าการประชุมสุดยอดเป็นเรื่องชอบธรรม
เขากล่าวว่าหากมีปัญหากับคู่ค้าที่นั่นก็ไม่ควรนำไปสู่อวสานของการประชุมทั้งกลุ่ม แต่คนอื่น ๆ
ในแวดวงนี้ควรยืนหยัดเพื่อค่านิยมตะวันตก กระนั้น
เขายังข้องใจเรื่องโอกาสของการเข้าใกล้กันระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยกล่าวว่าเขาไม่เชื่อว่าจะสามารถตัดปมที่เป็นปัญหาได้
โลกาภิวัตน์
ตามการศึกษาของมูลนิธิ
Bertelsmann
การเกี่ยวโยงกันนานาชาติด้านเศรษฐกิจทำให้ชาวเยอรมันมั่งคั่งขึ้นอย่างชัดเจน ลำพังในปี ๒๐๑๖
โลกาภิวัตน์ที่เพิ่มขึ้นทำให้ผลิตภัณฑ์รายได้ประชาชาติ (BIP)
ตามจริงต่อหัวเพิ่มขึ้น ๑,๓๐๐ ยูโร
โดยรวมในรอบสิบปีที่ผ่านมาที่ได้รับประโยชน์จากโลกาภิวัตน์มากที่สุด ได้แก่
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
สหรัฐอเมริกาอยู่ในระดับกลางของอันดับประเทศที่ได้รับการตรวจสอบ ๔๒
ประเทศ ในประเทศเยอรมัน BIP ต่อพลเมืองแต่ละคนระหว่างปี ๑๙๙๐ และ ๒๐๑๖ เฉลี่ยแต่ละปีสูงขึ้นราว ๑,๑๕๑ ยูโรกว่าตอนที่ยังไม่มีการเชื่อมโยงกันทั่วโลก ใน “รายงานโลกาภิวัตน์” ใหม่ของมูลนิธิ ฯ
ระบุว่ารวมทั้งสิ้นการเพิ่มขึ้นต่อหัวของ BIP ในช่วงระยะเวลานี้มีจำนวนราว
๓๐,๐๐๐ ยูโร ในปี ๒๐๑๖
การเพิ่มขึ้นมีจำนวน ๑,๒๗๐ ยูโร
ในการเปรียบเทียบกันสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันีอยู่ในอันดับ ๖ ตามการศึกษา แชมป์โลกโลกาภิวัตน์ ได้แก่
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ที่นั่นมีการเพิ่มขึ้นของ BIP ต่อผู้อยู่อาศัยเนื่องจากโลกาภิวัตน์ระหว่างปี
๑๙๙๐-๒๐๑๖ ราว ๑,๙๑๓ ยูโรต่อปี
ตามมาด้วยประเทศญี่ปุ่น ๑,๕๐๒ ยูโร ฟินแลนด์ ๑,๔๑๐ ยูโร ไอร์แลนด์ ๑,๒๖๑ ยูโรและอิสราเอล
๑,๑๕๗ ยูโร ตามการตรวจสอบ
สหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับที่ ๒๕
การศึกษาระบุว่าสหรัฐอเมริกามีการผูกพันทั่วโลกน้อยกว่าในประเทศอื่น ๆ
ส่วนใหญ่ ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของ BIP
จึงมีจำนวนเฉลี่ยในช่วงเวลาที่พิจารณาเพียง ๔๔๕ ยูโร ในปี ๒๐๑๖ BIP ต่อพลเมืองอเมริกันอยู่ที่
๔๕,๙๐๐ ยูโร
หากโลกาภิวัตน์ไม่เคลื่อนไหวจะมีจำนวน ๔๕,๕๐๐ ยูโร ที่อยู่ท้าย ๆ อันดับ ได้แก่ ประเทศจีน ด้วยการเพิ่มขึ้นของ BIP เฉลี่ยปีละ
๗๙ ยูโรต่อผู้อยู่อาศัยและอันดับสุดท้าย คือ อินเดีย ด้วยจำนวน ๒๒ ยูโร
สำหรับการศึกษาที่ทำโดย
Prognos
AG ทุก ๆ สองปีภายใต้การมอบหมายของมูลนิธิ Bertelsmann มีการตรวจสอบภายในประเทศอุตสาหกรรมและกำลังก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม ๔๒
ประเทศว่ามีการสอดประสานนานาชาติมากเพียงไรและมันทำให้เศรษฐกิจของชาติเติบโตขึ้นมากน้อยเท่าใด โดยรวมที่โลกาภิวัตน์มากที่สุด ได้แก่
ไอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์
ตามสายตาของมูลนิธิ ฯ หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่สุดของโลกาภิวัตน์ ได้แก่
การแบ่งสรรที่ไม่เท่าเทียมกันของกำไรจากโลกาภิวัตน์ระหว่างประเทศอุตสาหกรรมและประเทศที่กำลังก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมและภายในประเทศหนึ่ง
ๆ
ไม่ค่อยอ่านหนังสือ
ชีวิตประจำวันผ่านพ้นไปเร็วขึ้นทุกที
ขณะเดียวกันข้อเสนอด้านสื่อใหม่ ๆ
เช่นอินเตอร์เน็ตก็ทำให้แต่ละคนสิ้นเปลืองเวลามากขึ้นทุกที ผลคือ
มนุษย์ทุกวันนี้อ่านหนังสือน้อยลง ทำให้ไม่ซื้อหนังสือ พัฒนาการนี้ทำให้แวดวงหนังสือตกอยู่ในภาวะวิกฤติ
ในปีที่ผ่านมามีการซื้อขายน้อยลง ๑.๖%
ตามการเปิดเผยของสมาคมหุ้นของการค้าหนังสือเยอรมันที่แฟรงก์เฟิร์ตเมื่อวันที่
๗ มิถุนายนที่ผ่านมา ธุรกิจหนังสือเยอรมันสูญเสียลูกค้า
๖.๔ ล้านคนหรือ ๑๘% ของลูกค้าในตลาดสาธารณะ (ไม่รวมหนังสือเรียนและหนังสือวิชาการ)
ระหว่างปี ๒๐๑๓-๒๐๑๗ ในทุกรุ่นวัย แต่ที่หดหายหนักที่สุด ได้แก่ กลุ่มอายุจาก
๒๐-๕๐ ปี
แม้ว่าจำนวนที่น่าตกใจเกี่ยวกับการหดหายของผู้ซื้อจะได้รับการเปิดเผยตั้งแต่ต้นปี แต่ขณะนี้ธุรกิจหนังสือได้ทำการวิจัยหาต้นเหตุเป็นครั้งแรก
โดยการสอบถามผู้บริโภคแบบครอบคลุมและพัฒนากลยุทธ์ในเวลาเดียวกัน
ผลการศึกษาที่ได้รับการเปิดเผยเมื่อวันที่
๗ มิถุนายนที่ผ่านมา หนังชุดใหม่ ๆ ที่เป็นที่ชื่นชอบ เช่น ใน Netflix
กลายเป็นคู่แข่งใหญ่ของหนังสือ
สามารถดูร่วมกับผู้อื่นและเปิดโอกาสให้ผ่อนคลายและพูดคุยกับผู้อื่นในวันรุ่งขึ้น หน้าที่นี้สมัยก่อนเคยเป็นของหนังสือ แต่การศึกษาพบว่าทุกวันนี้หนังสือ
“ไม่เป็นหัวข้อสนทนาสำคัญ” อีกต่อไป ซึ่งในทางตรงข้ามทำให้มนุษย์ยากเข้าถึงหนังสือ
และทำให้ผู้ไม่อ่านหนังสือกลายเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
นอกจากนั้น
มีการระบุต่อไปว่าคนเรายังขาดทิศทางในตลาดหนังสือที่มีหัวเรื่องปีละมากกว่า ๗๐,๐๐๐
เรื่อง Alexander Skipis ผู้จัดการหลักของสมาคมหุ้นกล่าวว่าเพื่อให้สามารถดึงผู้เลิกอ่านหนังสือให้กลับคืนมา
หนังสือต้องไปหาผู้บริโภค
ความคิดแรกคือหนังสือสามารถถูกนำไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครคาดหมาย เช่น
สโมสรออกกำลังกาย ในทางกลับกันร้านหนังสืออาจจัดสโมสรชายทะเล ข้อเสนอที่น่าสนใจก็ได้แก่
จัดจุดอ่านหนังสือพิเศษในที่สาธารณะ ตัวอย่างเช่น สวนสาธารณะ หรือจัดงาน เช่น Speed-Dating
ในหัวข้อหนังสือ
การอ่านหนังสือควรเป็น “ประสบการณ์ด้านอารมณ์ความรู้สึก”
อีกครั้งหนึ่ง วงการหนังสือรู้สึกดีที่ตามการศึกษา
ประชาชนจำนวนมากหวนหาความเชื่องช้าลง เนื่องจากโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกที ตรงกันข้าม
ความหวังว่าอีบุ๊ก (E-Book)
จะเป็นตัวกระตุ้นกำไรไม่สัมฤทธิ์ผล
หนังสือดิจิตอลก็โดนกระทบจากการประท้วงของผู้ซื้อ
ในปีที่ผ่านมาสัดส่วนของหนังสือเหล่านี้ในการซื้อขายมีจำนวนเพียง ๔.๖% ซึ่งถดถอยลงเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะมีการหดหายของผู้ซื้อในปีหลัง ๆ
กระนั้น ในการซื้อขายมากกว่า ๙,๐๐๐ ล้านยูโร ก็ค่อนข้างคงที่
ผู้ที่ตัดสินใจซื้อหนังสือก็จ่ายเงินมากกว่าเพื่อการนี้ด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)