ตามการศึกษา
ประชาชนวัยสูงกว่า ๘๐ ปีส่วนใหญ่พึงพอใจกับชีวิตตนเอง
แม้ว่าจะมีข้อจำกัดและความเปราะบาง
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยโคโลญน์พบในการศึกษาคุณภาพชีวิตของคนรุ่นวัย “๘๐+”
ว่าความพึงพอใจลดลงอีกครั้งหนึ่ง ในวัยสูงกว่า ๙๐ ปี โดยมีการสอบถามผู้มีวัยสูง ๑,๘๐๐
คนในแคว้นนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลน
ตามการระบุในการเสนอผลวิจัยแรกของการศึกษาที่ยังดำเนินอยู่ รวมทั้งสิ้น ๘๖% ของผู้ถูกสอบถามแสดงความพึงใจกับชีวิตตนเอง
วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561
ความยากจน
ตามรายงานขององค์การสหประชาชาติ
ครึ่งหนึ่งของประชาชนที่ใช้ชีวิตอยู่ในความยากจนทั้งหมดบนโลกอายุน้อยกว่า ๑๘
ปี ราว ๑ ใน ๔ ของประชากรในประเทศที่ทำการตรวจสอบ
รายงานความยากจน ๑๐๔ ประเทศได้รับการจัดว่ายากจน
ราว ๖๖๒ ล้านคนในจำนวนนี้เป็นเด็กและผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะในวัยต่ำกว่า
๑๘ ปี ส่วนใหญ่ที่มีจำนวนราว ๑.๑
พันล้านคนอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท ที่ซึ่งตามรายงานอัตราความยากจนสูงกว่าในเมืองราว
๔ เท่า
ปริมาณขยะมหึมา
ธนาคารโลกเตือนถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมหึมาของภูเขาขยะทั่วโลก จนกว่าจะถึงปี ๒๐๕๐ ปริมาณขยะที่มีการผลิตทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น
๗๐%
หากไม่มีการดำเนินการใดๆเพื่อลดปริมาณขยะ
ตามการเปิดเผยของธนาคารโลกที่วอชิงตัน
ปัจจุบันทั่วโลกมีการผลิตขยะปีละ ๒.๐๑ พันล้านตัน ตามข้อมูลของธนาคารโลก จำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น
๓.๔ พันล้านตันผ่านการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรและการเป็นเมืองมากขึ้น
คนทำงานป่วยบ่อยขึ้น
จำนวนวันที่ไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากการลาป่วยในบริษัทธุรกิจเยอรมันและในสำนักงานส่วนราชการในเก้าปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมากกว่า
๖๐%
เป็นเกือบ ๕๖๐ ล้านวัน
ความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ๗๕% และในปีที่ผ่านมาคิดเป็นจำนวน
๗๕ พันล้านยูโรตามคำตอบของรัฐบาลต่อการสอบถามของพรรคซ้าย
หากตัดเงินเฟ้อออกไปความเสียหายเพิ่มขึ้นมากกว่า ๓๐% บริษัทประกันสุขภาพก็ระบุการเพิ่มขึ้นของระดับการป่วยจนถึงปี
๒๐๑๕ แต่ในปีต่อ ๆ
มาไม่ได้ดำเนินต่อไป สาเหตุ ได้แก่
การประกอบอาชีพที่เพิ่มขึ้นและการเพิ่มขึ้นสูงกว่าเฉลี่ยของแรงงานสูงอายุ อย่างไรก็ดี
ข้อมูลแสดงด้วยว่าภาระด้านจิตใจที่ที่ทำงานเพิ่มขึ้นอย่างหนัก ความเครียดมากขึ้น จากการกดดันเรื่องเวลาและสมรรถภาพ
การทำงานเป็นกะหรือการขาดแคลนการให้คุณค่าจากผู้จ้างงานและหัวหน้า ฯลฯ
เป็นปัจจัยที่ส่งอิทธิพลทางลบบางประการ
สาเหตุของการลาป่วยที่บ่อยที่สุด ได้แก่
ความเจ็บป่วยของระบบกล้ามเนื้อ-โครงกระดูก
ลำดับที่สอง ได้แก่ ความเจ็บป่วยด้านจิตใจที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
ปรอทการเมือง
หากในวันอาทิตย์ที่จะถึงมีการเลือกตั้งที่แคว้นไบเอิร์น
พรรคต่าง ๆ จะได้รับคะแนนเสียงดังต่อไปนี้
CSU
๓๕% SPD ๑๓% พรรคเขียว
๑๘% FDP ๕% พรรคซ้าย ๔% AfD ๑๐% พรรคอื่น ๆ ได้คะแนนเสียงรวมกัน ๔% ซึ่งจะทำให้รัฐบาลที่เกิดจากการผสมระหว่าง
CSU และพรรคเขียวหรือ CSU กับ SPD
มีเสียงข้างมาก
ต่อคำถามที่ว่าผู้ใดควรเป็นนายก ฯ แคว้น Markus Söder (CSU) ๕๐% Natascha Kohnen (SPD) ๒๖%
หากในวันอาทิตย์ที่จะถึงมีการเลือกตั้งที่แคว้น
Hessen
พรรคต่าง ๆ จะได้รับคะแนนเสียงดังต่อไปนี้ CDU ๓๒% SPD ๒๕% พรรคเขียว ๑๕% พรรคซ้าย ๘% FDP ๖% AfD ๑๑%
พรรคอื่น ๆ รวมกัน ๓% ต่อคำถามที่ว่าผู้ใดควรเป็นนายก
ฯ แคว้น Volker Bouffier (CDU) ๔๓% Thorsten Schäfer-Gümbel (SPD) ๓๗%
วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2561
ภาพพจน์ผู้อพยพในเยอรมัน
แม้ว่าจะมีการถกเถียงเกี่ยวกับการอพยพและผู้ลี้ภัยอย่างกว้างขวาง
แต่ประชาชนในประเทศเยอรมันส่วนใหญ่มีภาพที่เป็นบวกของการใช้ชีวิตร่วมกันกับผู้อพยพ ตามการศึกษาของมูลนิธิเพื่อการปรับตัวการอพยพที่มีการเสนอที่เบอร์ลินเมื่อวันที่
๑๘ กันยายนที่ผ่านมา
เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ประสบกับความหลากหลายของวัฒนธรรมในชีวิตประจำวัน สำหรับ “การชี้วัดระดับการปรับตัว”
มีการสอบถามผู้เข้าร่วมถึงหัวข้อจำนวนมากเกี่ยวกับการอพยพและการปรับตัว จากผลลัพธ์มีการคำนวณดัชนีที่มีค่าระหว่าง
๐-๑๐๐ ยิ่งค่าสูงเท่าไร
บรรยากาศการปรับตัวยิ่งได้รับการประเมินดีขึ้นเท่านั้น
ตามข้อมูล
ท้ายสุดดัชนีอยู่ที่ ๖๓.๘ คะแนนสำหรับประชาชนที่ไม่มีความเป็นมาจากการอพยพและ ๖๘.๙
คะแนนสำหรับประชาชนที่มีความเป็นมาจากการอพยพ
บรรยากาศการปรับตัวหม่นมัวลงกว่าการศึกษาครั้งที่แล้ว(ในปี ๒๐๑๖)
ตรงที่ซึ่งไม่ได้ประสบกับการปรับตัวในชีวิตประจำวันด้วยตนเอง
ส่งตัวผู้อพยพกลับ
ตามข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย
นับแต่ปี ๒๐๑๕ การส่งตัวผู้อพยพกลับประเทศ Maghreb สูงขึ้นอย่างชัดเจน ลำพังตัวเลขการส่งกลับไปยังประเทศอัลจีเรีย
ที่ซึ่งนายก ฯ Angela Merkel ได้พบปะกับผู้นำประเทศเพื่อเจรจาเกี่ยวกับการอพยพและนโยบายความปลอดภัยเมื่อวันที่
๑๗ กันยายนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเกือบเก้าเท่าจากจำนวน ๕๗ ในปี ๒๐๑๕ เป็น ๕๐๔ ในปี
๒๐๑๗ จนถึงเดือนกรกฎาคม ๒๐๑๘
แนวโน้มนี้ดำเนินต่อไปด้วยจำนวนการส่งตัวกลับราว ๓๕๐ กรณี คำร้องขอลี้ภัยที่ได้รับการปฏิเสธ
หยุดพิจารณาหรือถอนกลับจากชาวอัลจีเรียมีจำนวน ๗,๕๐๐ กรณี ขณะนี้ตามข้อมูลของศูนย์ลงทะเบียนชาวต่างชาติ
มีชาวอัลจีเรียที่ต้องเดินทางออกนอกประเทศ ๓,๖๘๔ คน แต่ในจำนวนนี้อาจมีประชาชนที่ไม่จำเป็นต้องเดินทางออกจากประเทศเยอรมันอีกแล้ว
เนื่องจากในระหว่างนี้ได้รับสิทธิให้พำนักอาศัยอยู่ในประเทศอย่างถูกกฎหมายแล้ว แต่จำนวนนี้ได้รับการประเมินว่าค่อนข้างน้อย
วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2561
ผักที่ไม่ถูกกับโรค
ในผู้ป่วยบางโรคการกินพืชผักหรือผลไม้บางชนิดกลับเป็นสิ่งต้องห้าม
เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อโรคที่เป็นอยู่ได้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ได้เคยเผยแพร่ผ่านทวิตเตอร์ “@FDAThai” โดยให้ข้อมูลว่า
- ผู้ป่วยโรคไต ควรหลีกเลี่ยงการกินพืชผัก-ผลไม้ที่มีสารของกรดออกซาลิกในปริมาณสูง เช่น มันสำปะหลัง ดอกกระหล่ำ ผักโขม ปวยเล้ง เป็นต้น เนื่องจากกรดออกซาลิกสามารถจับกับแคลเซียมตกตะกอนเป็นก้อนนิ่วที่ไต นอกจากนั้น ผู้ป่วยไตเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงผักผลไม้ที่มีโปแตสเซียมสูง เช่น หน่อไม้ ใบขี้เหล็ก ทุเรียน มะละกอ เป็นต้น
- ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งเป็นโรคเลือดจางที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม มีปริมาณธาตุเหล็กสูง แต่ไม่สามารถนำมาสร้างเม็ดเลือดแดงเองได้ ทำให้เกิดภาวะธาตุเหล็กสูงในเลือด ซึ่งเป็นอันตราย ฉะนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับสัตว์ เครื่องในสัตว์ รวมไปถึงผักผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ผักกูด ถั่วฝักยาว ผักแว่น เห็ดฟาง ใบตำลึง ใบแมงลัก ส้ม เป็นต้น
- ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ สิ่งที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้พึงระวัง คือ พืชวงศ์ Cruciderae ได้แก่ กระหล่ำปลี ทูนิปและเมล็ดพันธุ์ผักกาดชนิดต่าง ๆ ซึ่งผลที่เกิดขึ้น คือ จะทำให้เกิดเป็นโรคคอหอยพอก แต่สารพิษเหล่านี้จะถูกทำลายโดยการต้ม จึงควรกินกระหล่ำปลีสุกดีกว่ากระหล่ำปลีต้ม
- ผู้ป่วยโรคกระเพาะและลำไส้ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคพริก เพราะจะทำให้กระเพาะอักเสบได้ ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร หากกินพริกปริมาณมากอาจทำให้อาการของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารหนักมากขึ้น เนื่องจากพริกมีสารที่เรียกว่า “แคปไซซิน” ซึ่งทำให้เกิดความเผ็ดร้อน พบมากในส่วนของรกพริก (ไส้แกนกลาง) และเมล็ดพริก ความเผ็ดของพริกทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารและทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้นได้
ปรอทชี้วัดการเมือง
หลังเหตุการณ์ที่
Chemnitz และการถกเถียงเกี่ยวกับ Hans-Georg Maaßen ประธานสำนักงานปกป้องรัฐธรรมนูญ
พรรค CDU/CSU สูญเสียการให้การสนับสนุน หากในวันอาทิตย์ที่จะถึงมีการเลือกตั้งทั่วไป
CDU/CSU จะได้รับคะแนนเสียงร่วมกันเพียง ๓๐% (-๑) และเป็นค่าที่ย่ำแย่ที่สุดจนถึงปัจจุบันในการสอบถาม “ปรอทการเมือง”
ของสถานีโทรทัศน์ ZDF ตรงกันข้าม พรรค SPD จะได้รับคะแนนเสียง
๒๐% หรือเพิ่มขึ้น ๒% ขณะที่พรรคเขียวได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้น
๒% เป็น ๑๖% พรรค AfD คะแนนเสียงลดลง ๒%
เหลือ ๑๕% พรรคซ้ายอยู่ที่ ๘%
ไม่เปลี่ยนแปลง พรรค FDP สูญเสียคะแนนเสียง ๑% และอยู่ที่ ๗%
ลอนดอนเสียภาพลักษณ์
การออกจากสหภาพยุโรปที่ใกล้เข้ามาของสหราชอาณาจักรก่อให้เกิดรอยขีดข่วนในภาพลักษณ์ของลอนดอน ตามการสอบถาม
นิวยอร์กแซงหน้าเมืองริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ในฐานะศูนย์กลางการเงินที่มีเสน่ห์ที่สุดของโลก โดยขณะนี้นิวยอร์กอยู่ในลำดับ ๑
ของอันดับที่ได้รับการจัดทำโดยบริษัทที่ปรึกษา Z/Yen ตามมาด้วยลอนดอน
ฮ่องกงและสิงคโปร์ โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ
เช่น โครงสร้างพื้นฐานหรือแรงงานที่มีคุณภาพสูง ฯลฯ จากแหล่งการคลัง ๑๐๐ แห่ง
กลัวคนขี่จักรยาน
ผู้ขับรถยนต์ทุก ๑ ใน ๑๐
คนเห็นว่าผู้ขี่จักรยานเป็นหนึ่งในปัญหาด้านความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในการสัญจรบนท้องถนน ทั้งนี้ เป็นผลลัพธ์ของการสอบถามของ Forsa
ภายใต้การมอบหมายจาก CosmosDirekt โดย ๗๔% รับว่าพฤติกรรมที่เสี่ยงของผู้ขี่จักรยานก่อให้เกิดควมกลัวหรือความรู้สึกไม่ดีมาแล้ว ที่สร้างความตกอกตกใจมากกว่าจากการสอบถาม
ได้แก่ ผู้ขี่จักรยานยนต์ที่แซงรถบนถนนหลวง
๗๙% กล่าวว่าเคยมีความรู้สึกไม่ดีมาแล้วเพราะเหตุนี้ สภาพการมองเห็นได้ไม่ดี (๗๘%) และสถานที่ก่อสร้างบนเอาโตบาห์น (๖๒%)
ก็สร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ขับรถยนต์จำนวนมาก
มันฝรั่งจะแพงขึ้น
ผลการเก็บเกี่ยวที่น้อยลงเนื่องจากความแห้งแล้งในประเทศเยอรมันอาจทำให้ผู้บริโภคต้องเผชิญกับราคามันฝรั่งที่สูงขึ้นถึง
๓๐% Martin Umbau จากสมาคมเกษตรกรรมกล่าวว่าสมาคม
ฯ คาดหมายการเก็บเกี่ยวมันฝรั่งที่น้อยที่สุดที่เคยมีมาในประเทศเยอรมัน
โดยบ่งชี้ถึงการพยากรณ์ที่ว่าการเก็บเกี่ยวมันฝรั่งเยอรมันในปีนี้อาจอยู่ที่
๘.๕ ล้านถึง ๑๐ ล้านตันเนื่องจากความแห้งแล้ง
ในปีที่แล้วยังอยู่ที่ ๑๑.๗ ล้านตัน
คนเบอร์ลินมีการศึกษาสูง
ไม่มีแคว้นใดในประเทศเยอรมันที่มีสัดส่วนผู้จบการศึกษาสูงเช่นที่เบอร์ลิน
สำนักงานสถิติแห่งชาติได้เปรียบเทียบระดับการศึกษาของผู้มีวัย ๒๕-๖๔
ปีและพบว่าที่เบอร์ลิน ๔๑%ในกลุ่มนี้จบมหาวิทยาลัยหรือจบการฝึกอาชีพเป็นช่างฝีมือ เฉลี่ยทั่วประเทศในปี ๒๐๑๗ อยู่ที่ ๒๙% ตรงกันข้าม
ที่เบอร์ลินก็เกิดขึ้นบ่อย ๆ ว่าประชาชนวัยระหว่าง ๑๘-๒๔ ปีไม่มีการฝึกอาชีพ
ไม่จบมัธยมศึกษาและไม่ได้กำลังศึกษาเล่าเรียน
ทั่วประเทศมีจำนวน ๑๓.๒%
อัตราเงินเฟ้อ
อัตราเงินเฟ้อในประเทศเยอรมันยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น
อัตราการแพงขึ้นเฉลี่ยสำหรับสินค้าและบริการในเดือนสิงหาคมยังคงอยู่ในระดับของเดือนกรกฎาคมที่
๒.๐% ตามการเปิดเผยของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
ธนาคารกลางแห่งสหภาพยุโรป (EZB) เห็นว่าค่าต่ำกว่า ๒% เล็กน้อย เป็นค่าอุดมคติสำหรับเศรษฐกิจ
การจ่ายเงินเพื่อพลังงานแพงขึ้น ๖.๙% โดยเฉพาะสำหรับน้ำมันเพื่อทำความร้อน (+๒๙.๗)
และน้ำมัน (+๑๒.๔)
ผู้บริโภคต้องควักกระเป๋ามากขึ้นสำหรับสินค้าอาหารที่มีราคามากกว่าในเดือนสิงหาคม
ปี ๒๐๑๗ ๒.๕%
ความฝันแบบอเมริกัน ?!
ขณะนี้ชาวอเมริกันจำนวนมากไม่สามารถหยุดความรู้สึกที่ว่าถูกหลอกจากการเมือง
วอลสตรีท และบุคคลชั้นหัวกะทิ
โดยตลาดการคลังทำให้ประเทศแตกแยกจนถึงทุกวันนี้
ถึงแม้จะมีการประกอบอาชีพเต็มเวลาและการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ความรู้สึกเดียวที่มีร่วมกัน คือ
การใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่แตกสลาย
ซึ่งมันมีสัญญาณที่บ่งบอกถึงบรรยากาศที่อึมครึมอย่างไม่เคยมีมาก่อน ที่ชาวอเมริกันมีอัตราการเกิดต่ำเช่นทุกวันนี้ อัตราการฆ่าตัวตายสูงเท่ากับท้ายสุดเมื่อ ๓๐
ปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน
ชาวอเมริกันก็สูญเสียความไว้วางใจในสถาบันการเมือง ศาสนา สื่อสารมวลชน ตำรวจ และฝ่ายยุติธรรม
ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนต่างผิวตึงเครียดอย่างไม่เคยมีมาก่อน ระบบสาธารณสุขและการศึกษาประสบปัญหาอย่างมหาศาล
ภายใต้ความไม่เห็นพ้องต้องกัน ถนน สะพาน
สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ทรุดโทรม
ความมั่งคั่ง-ความยากจนแยกห่างออกจากกันมากขึ้นทุกที ในขณะที่ที่รัฐบาลช่วยเหลือวอลสตรีทและทำให้คนร่ำรวยยิ่งรวยขึ้น
ทรัพย์สินเฉลี่ยของครัวเรือนเอกชนอเมริกันในประเทศลดลงจาก ๑๒๖,๐๐๐
ดอลลาร์ในปี ๒๐๐๗ เหลือ ๙๗,๐๐๐ ดอลลาร์ในปีนี้
เพียง ๑ ใน ๓ ของอสังหาริมทรัพย์สามารถฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังการสูญเสียค่าจากวิกฤตฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในปี
๒๐๐๘ หนี้สินจากบัตรเครดิตทุกวันนี้สูงขึ้นกว่าในปี
๒๐๐๗ ถึง ๓๐%
ชาวอเมริกันจำนวนมากกล่าวว่านอกเหนือจากเงินบำนาญพื้นฐานจากรัฐ
ไม่มีเงินออมอื่นสำหรับวัยสูงอายุ
และในการสอบถามเมื่อไม่นานมานี้ของ YouGov สองในสามของผู้ถูกสอบถาม
รับว่าไม่มีเงินเก็บมากเพียงพอสำหรับการชำระค่าใช้จ่ายไปพบแพทย์ที่ไม่คาดฝันกว่า
๕๐๐ ดอลลาร์
ความคิดดั้งเดิมแบบอเมริกันที่ว่า จะประสบความสำเร็จได้ด้วยการทำงานที่ซื่อสัตย์อย่างหนัก
ล้มเหลวตั้งแต่เมื่อเจอเข้ากับค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผู้ที่ทุกวันนี้เริ่มชีวิตการงานด้วยหนี้สินถึงแสนดอลลาร์จากการศึกษาเล่าเรียน
จำต้องเลื่อนการซื้อรถยนต์ และการเป็นเจ้าของบ้าน
การแต่งงานและความปรารถนาอยากมีบุตรต้องเลื่อนเวลาออกไปก่อน
ในสหรัฐอเมริกาหนี้รัฐเพิ่มขึ้นระหว่าง
“การถดถอยครั้งใหญ่” ๔๐% เป็น ๑๐๕% ของผลิตภัณฑ์รายได้ประชาชาติ
ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดความไว้วางใจ สิ่งที่เหลืออยู่
คือความโกรธเคืองและความรู้สึกที่ไม่ดี ว่าความฝันแบบอเมริกันได้รับความเสียหายอย่างถาวร
ระบบการศึกษาเยอรมันดีขึ้น
๑๗ ปีหลังการช็อคจากการศึกษา PISA ระบบการศึกษาของประเทศเยอรมันเห็นผลในสภาพที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
ครั้งกระนั้นองค์กรเพื่อความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจและพัฒนาการ (OECD) ได้แสดงว่าความสามารถของนักเรียนเยอรมันต่ำกว่าเฉลี่ยและเกี่ยวข้องกับที่มาสิ่งแวดล้อมของตัวเด็กในสังคมอย่างหนัก
Heino von Meyer ผู้อำนวยการสำนักงาน OECD ที่เบอร์ลินกล่าว ว่าปัจจุบันมีทั้งด้านดีและบวก ส่วนที่เป็นบวก
คือสัดส่วนของเด็กวัยต่ำกว่า ๓ ปีที่ไปเข้าโรงเรียนอนุบาลเพิ่มขึ้น ๒๐% ในรอบ ๑๐ ปีที่ผ่านมา
ส่วนใหญ่ของประชากรผู้ใหญ่กลุ่มอายุน้อยจบการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายหรือการฝึกอาชีพ
ผู้จบการศึกษามหาวิทยาลัยและประชาชนอายุน้อยที่จบการศึกษาเพื่อประกอบอาชีพระดับสูงจำนวนมาก
มีโอกาสทางอาชีพที่ดีเยี่ยม
ปัญหาหลัก คือ ประชากรเต็มวัยในกลุ่มอายุน้อยที่มีอนาคตย่ำแย่จำนวนมาก
โดย ๑๓% ไม่จบมัธยมศึกษาตอนปลายหรือการฝึกอาชีพ
มากกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มนี้จะอยู่ในกลุ่มคนว่างงาน ที่น่าสังเกต
คือโอกาสที่แย่ของผู้อพยพอายุน้อย ๑ ใน ๔ ของจำนวนนี้ไม่ได้ประกอบอาชีพ
ศึกษาเล่าเรียนหรือฝึกอบรม ที่หนักหนาเป็นพิเศษ ได้แก่
ผู้ที่มาอพยพยังประเทศเยอรมันเมื่อเป็นวัยรุ่นแล้ว OECD ยังแสดงว่าลูกของผู้มีมารดาที่มีการศึกษาสูง
ไปเข้าโรงเรียนอนุบาลมากกว่าเด็กที่เกิดจากมารดาที่ไม่มีสถานะการศึกษานี้มาก
เด็กจากแหล่งที่ถูกละเลยทางสังคมจำนวนน้อยกว่าอย่างชัดเจนที่บรรลุความรู้พื้นฐาน เช่น
ในวิชาคณิตศาสตร์
อย่างไรก็ดี การวิเคราะห์ PISA จากเดือนกุมภาพันธ์แสดงด้วยว่าแทบไม่มีประเทศใดที่สัดส่วนนักเรียนที่มาจากสังคมอ่อนด้อยที่มีความสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเด็กเก่งจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเหมือนในประเทศเยอรมัน
จาก ๒๕.๒% ในปี ๒๐๐๖ เป็น ๓๒.๓% ในปี ๒๐๑๕ แต่ละปีประเทศเยอรมันใช้จ่ายเงินเฉลี่ย
๙,๔๐๐ ยูโรต่อนักเรียนและนักศึกษา มากกว่าเฉลี่ยของ OECD
ราว ๑,๔๐๐ ยูโร
Andreas Schleicher ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาของ OECD
มีความเห็นว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับโอกาสที่เท่าเทียมกันและความสำเร็จในการเรียน
คือ การเพิ่มขึ้นของโรงเรียนเต็มวันมากขึ้น
ชั่วโมงเรียนร่วมกันมากขึ้นของนักเรียนที่มาจากครอบครัวที่ด้อยกว่าและที่ดีกว่า
ได้รับการศึกษาเร็วขึ้นในอนุบาลมากขึ้น
Marlis Tepe จากสหภาพการอบรมบ่มนิสัยและวิชาการ (GEW)
กล่าวว่าสิ่งที่ทำให้พัฒนาการในประเทศเยอรมันเป็นไปได้ยากประการหนึ่ง
ได้แก่ การขาดแคลนครู เธอกล่าวว่าแคว้นต่าง ๆ ทำอะไรเพื่อเรื่องนี้น้อยมาก
สาเหตุของการขาดแคลนครู คือ
ถึงแม้ว่าในประเทศเยอรมันครูจะได้รับเงินเดือนดี
แต่เปรียบเทียบกันแล้วอาชีพครูไม่มีแรงดึงดูดใจ
ที่พบได้บ่อยคือครูมีเวลาน้อยภายในชั้นเรียนสำหรับการพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ร่วมกัน
มีความหวังในภายหน้าในด้านอาชีพน้อย
วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2561
กันไว้ดีกว่าแก้
ตามปกติผู้เขียนมีกิจที่ทำให้ต้องไปสถานีตำรวจเป็นครั้งคราว
แต่ละครั้งก็มักเจอเอกสารแจกที่น่าสนใจให้หยิบติดมือมาอ่านอยู่เสมอ
ล่าสุดนี้เจอเอกสารที่เกี่ยวกับการป้องกันยานพาหนะ ซึ่งเรื่องนี้นับว่าใกล้ตัว เนื่องจากเพื่อนก็เคยโดนงัดรถที่จอดอยู่หน้าบ้านมาแล้ว หนักสุดก็โดนขโมยไปทั้งคันเลยด้วยซ้ำไป เอกสารของตำรวจจะเน้นการป้องกันไว้ก่อน เรียกว่าอย่าเปิดโอกาสให้ขโมยลงมือได้
เพราะหัวขโมยรถสมัยนี้นั้นมีความสามารถสูงและทำงานกันอย่างเป็นระบบเป็นทีมเวิร์ค
โดยยอดฝีมือทั้งหลายจะแบ่งงานกันทำ มีทั้งพวกจ้างวาน คนขายต่อ ขโมย และคนขับ
แล้วยังมีพวกที่คอยตระเวณไปตามละแวกที่อยู่อาศัย
เพื่อสอดส่องดูว่าที่ไหนมียานพาหนะราคาแพงจอดอยู่บ้าง ได้ข้อมูลมาแล้วก็จะบอกต่อไปยังหัวขโมยที่บ่อย
ๆ มีความรู้เรื่องเทคนิคดี
ถึงกับในหลายกรณีเครื่องป้องกันความปลอดภัยต่าง ๆ ก็สะเดาะได้ เอากับเขาสิ
คำแนะนำในการจอดรถ
จึงมีว่า
- ถ้าเป็นไปได้อย่าจอดยานพาหนะราคาแพงไว้ง่าย ๆ ข้างถนนหรือในที่จอดที่ไม่มีการป้องกัน
- ใช้โรงรถที่ปิดล็อคได้หรืออย่างน้อยก็จอดรถไว้ตรงถนนที่มีแสงสว่างและผู้คนสัญจรไปมา
- ระมัดระวังบุคคลแปลกหน้าหรือยานพาหนะที่มีป้ายทะเบียนต่างถิ่นที่ค่อย ๆ แล่นช้า ๆ ไปตามถนนหลายเที่ยว ให้จดหมายเลขทะเบียนไว้และรายงานตำรวจ
- ระวังบุคคลที่ถ่ายภาพรถของเราไว้ เพราะมันสามารถเป็นการลงมือเตรียมการสำหรับการขโมยในภายหลังได้ ยานพาหนะที่มีราคาแพงมักถูกขโมยตามสั่ง
โอกาสที่เปิดให้ก็ทำให้เกิดการขโมยได้
เพราะฉะนั้นจึง
- หากยานพาหนะติดตั้งระบบเตือนการขโมยก็ให้ใช้งาน
- ระมัดระวังว่าเวลาปิดประตูรถด้วยรีโมทมีเสียงหรือสัญญาณให้เห็นว่าปิดจริง การบล็อคสัญญาณสามารถรบกวนสัญญาณของตัวรีโมท จนทำให้ประตูรถไม่ได้ล็อคจริง
- อย่า “ซ่อน” กุญแจสำรองไว้ที่รถหรือในรถ เนื่องจาก “ที่ซ่อน” นี้เป็นที่รู้กันสำหรับขโมยด้วย ให้รำลึกไว้ด้วยว่าตามกฎหมาย การทิ้งกุญแจดอกที่สองไว้ในรถเป็นความประมาทใหญ่หลวง ซึ่งในกรณีที่เกิดการขโมยรถขึ้น บริษัทประกันไม่ต้องรับผิดชอบการชำระเงินค่าเสียหาย
- หากกุญแจรถถูกขโมยหรือหายไป ให้ไปที่ร้านขายรถทันที ที่นั่นมีความเป็นไปได้ที่จะจัดการไม่ให้กุญแจใช้งานได้
- เนื่องจากส่วนใหญ่กุญแจรถและกุญแจบ้านจะวางไว้ที่โถงทางเดินหรือแขวนไว้ที่แผงกุญแจ ทำให้ง่ายที่จะขโมยรถที่จอดไว้ในโรงรถ ตรงนี้ตำรวจระบุว่าสามารถให้คำแนะนำในเรื่องการป้องกันการขโมยได้ โดยไปที่ฝ่ายให้คำปรึกษาของตำรวจอาชญากรรมหรือในอินเตอร์เน็ต www.k-einbruch.de
- ดึงกุญแจสตาร์ทรถออกเสมอ แม้ไม่อยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น ตอนเติมน้ำมันหรือลงไปซื้อหนังสือพิมพ์
- ไม่ทิ้งกุญแจไว้โดยไม่มีใครดูในเสื้อแจ็คเก็ตที่แขวนไว้ที่ที่แขวน เวลาไปกินอาหารในร้านหรือในห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว
- ปิดหน้าต่าง ประตู ที่เก็บของ หลังคาเลื่อนและฝาถังน้ำมันเสมอ ถึงหากจะเดินจากรถไปเพียงประเดี๋ยวประด๋าว การปิดฝาถังทำให้ขโมยทำงานได้ยากขึ้น
การขโมยของภายในรถ รถยนต์ไม่ใช่ตู้นิรภัย จึงไม่ควร
- อย่าทิ้งสิ่งของมีค่า เช่น โทรศัพท์ แล็ปท็อป กล้องถ่ายรูปหรือเงิน ฯลฯ ไว้ในรถให้มองเห็นได้ การซ่อนไว้ก็ไม่ช่วยอะไร เพราะขโมยก็รู้จักที่ซ่อนทุกแห่ง นอกจากนั้น วัตถุเหล่านี้ส่วนใหญ่มักไม่รวมอยู่ในการประกัน
- ไม่ทิ้งเครื่องบอกทางเคลื่อนที่ไว้ในรถ ที่วางเครื่องก็เอาออกด้วย
- ไม่ทิ้งบัตรประจำตัวประชาชน เอกสารเกี่ยวกับรถ ข้อบ่งชี้ถึงที่อยู่อาศัยและกุญแจบ้านไว้ในรถ มิฉะนั้น นอกจากถูกขโมยรถแล้วยังอาจถูกขโมยเข้าบ้านด้วย
- ไม่เก็บของมีค่าไว้ในที่เก็บของ ในการค้างคืนขณะไปเที่ยวหรือไปทำธุรกิจให้นำกระเป๋าทั้งหมดออกจากที่เก็บของ
- ระหว่างการขับรถก็ให้ล็อครถ เพื่อหลีกเลี่ยงการฉกชิงของจากรถ เช่น ระหว่างหยุดที่สี่แยก
ข้อมูลเพิ่มเติม www.polizei-beratung.de
โดย
“เอื้อยอ้าย”
ความรุนแรงในโรงเรียน
ราวครึ่งหนึ่งของเยาวชนทั่วโลกมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรุนแรงหรือการถูกรุม
Mobbing
จากเพื่อนนักเรียน
ตามรายงานขององค์การให้ความช่วยเหลือเด็กยูนิเซฟ ในปี ๒๐๑๗ เยาวชนทุก ๑ ใน
๒ คนจากเยาวชนวัยระหว่าง ๑๓-๑๕ ปีจำนวน ๑๕๐
ล้านคนทั่วโลกเคยประสบกับการถูกมอบบิงหรือเกี่ยวข้องกับการยกพวกตีกัน Henrietta Fore นายใหญ่ของยูนิเซฟกล่าวว่า
เป็นสิ่งรบกวนการศึกษาของเยาวชน
ในระยะสั้นรบกวนการเรียนรู้
ในระยะยาวสามารถนำไปสู่การซึมเศร้า ความกลัว หรือถึงกับการฆ่าตัวตายได้
ผู้หญิงเยอรมันมีการศึกษาสูงขึ้น
ผู้หญิงรุ่นใหม่ในประเทศเยอรมันจบมหาวิทยาลัยมากกว่ารุ่นแม่สองเท่า ตามข้อมูล Mikrozensus 2017 ที่ได้รับการเปิดเผยจากสำนักงานสถิติแห่งชาติที่วิสบาเดน ในปี ๒๐๑๗ พบว่า ๓๐% ของสตรีวัย ๓๐-๓๔ ปีจบมหาวิทยาลัย
ในกลุ่มอายุ ๖๐-๖๔ ปีมีจำนวนเพียง ๑๕% ตามสถิติ
ระดับการศึกษาของเพศหญิงในกลุ่มประชากรเพิ่มขึ้นสูงกว่าบุรุษอย่างชัดเจน โดยบุรุษวัย ๓๐-๓๔ ปี ๒๗%
จบมหาวิทยาลัย เปรียบเทียบกับ ๒๗% ในกลุ่มผู้มีอายุ ๖๐-๖๔ ปี
รวมทั้งสิ้น ๒๙% ของผู้มีวัย ๓๐-๓๔
ปีจบมหาวิทยาลัย ในกลุ่มอายุ ๖๐-๖๔
ปีมีจำนวน ๑๙% แต่นักสังคมวิทยาเตือนถึงการสรุปที่ผิด
ๆ โดยศาสตราจารย์ Birgit Blättel-Mink จากแฟรงก์เฟิร์ตกล่าวว่าไม่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย
ๆ เรื่องความเท่าเทียมกันของบุรุษและสตรีในระบบการศึกษา สัดส่วนอาจารย์เพศชายยังสูงกว่าอาจารย์หญิงอย่างชัดเจนต่อไป ในปี ๒๐๑๗
ถึงกับมีการลดถอยลงของการแต่งตั้งอาจารย์สตรี
ความกังวลของคนเยอรมัน
ชาวเยอรมันกลัวอะไรมากที่สุด
?
คำตอบของการสอบถามตามธรรมเนียมของบริษัทประกันแห่งหนึ่งในปีนี้ฟังดูน่าแปลกประหลาดใจ นั่นก็คือนโยบายของโดนัลด์ ทรัมพ์ จากพลเมืองเยอรมันราว ๒,๓๐๐ คนในวัย ๑๔
ปีขึ้นไป มากกว่า ๒ ใน ๓ (๖๙%) ตอบว่านโยบายของทรัมพ์ทำให้โลกอันตรายยิ่งกว่าเดิมและสร้างความหวาดกลัวให้ตนเอง Manfred Schmidt นักวิชาการด้านการเมืองจากไฮเดลแบร์กกล่าวว่าผลลัพธ์นี้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเล็ก
ๆ
เนื่องจากการสอบถามนี้ไม่เคยมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เขาเห็นว่าความวิตกเกี่ยวกับทรัมพ์เป็นเรื่องสมควร การศึกษา “ความกลัวของชาวเยอรมัน”
ได้รับการมอบหมายจากบริษัท R+V Versicherung มาตั้งแต่ปี ๑๙๙๒
โดยถือกันว่าเป็นเครื่องวัดความรู้สึกเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ
สิ่งแวดล้อม ครอบครัว สุขภาพ และความวิตกกังวลส่วนตัว มานเฟรด ชมิดท์เห็นว่าพลเมืองเยอรมันที่มีประสบการณ์นี้ไม่ใช่คนช่างกลัว
หากแต่มีการตัดสินที่ถูกต้องตรงความเป็นจริง Brigitte Römstedt จาก R+V Versicherung กล่าวว่าทรัมพ์ในฐานะที่เป็นตัวสร้างความหวาดกลัวเป็นเรื่องที่เข้ามาใหม่ในปีนี้ในการสอบถาม แต่ผู้สัมภาษณ์ไม่ได้สอบถามถึงผลจากการเมืองของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์
พูทินของรัสเซียหรือประธานาธิบดี Recep Tayyip Erdogan
ของตุรกี มานเฟรด ชมิดท์ไม่เห็นว่าการวิตกกังวลถึงการเมืองของทรัมพ์ไม่ใช่เรื่องไม่สมเหตุสมผล เขาเสริมว่าทรัมพ์สร้างความไม่สามารถคาดคะเนได้และความไร้เสถียรภาพ ชาวเยอรมันหวั่นเกรงการจู่โจมยุโรปของทรัมพ์และโดยเฉพาะการทำร้ายต่อสินค้าเยอรมันและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่น่าแปลกใจน้อยกว่าสำหรับนักวิจัย ได้แก่
การวิตกกังวลใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งเรื่องผู้อพยพ เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว ความหวั่นวิตกต่อการรับภาระผู้ลี้ภัยเกินกำลังเพิ่มขึ้น
๖% ในภาคตะวันออกและภาคใต้โดยรวมสูงกว่าในภาคตะวันตกและภาคเหนือ ทำให้ความหวาดกลัวนี้ (๖๓%) อยู่ในอันดับสองต่อจากความหวาดกลัวทรัมพ์
เท่าเทียมกับความหวาดกลัวความตึงเครียดที่เกิดจากการเข้ามาเพิ่มของชาวต่างชาติ
ที่ตามมาติด ๆ ในอันดับสี่ คือความหวาดกลัวการเกินกำลังของการเมือง
(๖๑%)
ระหว่างนี้เกือบครึ่งหนึ่งของพลเมือง (๔๘%)
ให้คะแนนการทำงานของนักการเมืองว่าบกพร่องหรือไม่เพียงพอ ที่ต่ำลง ได้แก่
ความกลัวอย่างมโหฬารของปีที่ผ่าน ๆ มา ได้แก่ การก่อวินาศกรรมของผู้ก่อการร้าย
ที่ผู้ถูกสอบถาม ๕๙% หวาดกลัว น้อยกว่าเมื่อ ๑ ปีก่อน ๑๒% มากกว่าครึ่งหนึ่ง (๕๘%) กลัวค่าใช้จ่ายของผู้เสียภาษีเนื่องจากวิกฤตหนี้ของสหภาพยุโรป มานเฟรด ชมิดท์ยังมองเห็นความเป็นจริงในเรื่องที่เกี่ยวกับสภาวการณ์ตลาดแรงงาน
เขากล่าวว่าที่ตลาดแรงงานไม่มีปัญหาใหญ่อีกต่อไปแล้ว และคนส่วนใหญ่ก็รับรู้ เพียงชาวเยอรมันทุก ๑ ใน ๔
คนหวาดกลัวการสูญเสียงาน
ซึ่งเป็นค่าที่ต่ำที่สุดนับแต่ปี ๑๙๙๒
เสียชีวิตในทะเล
การข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอันตรายมากขึ้นทุกทีสำหรับผู้อพยพและผู้ลี้ภัย ในปีนี้ประชาชนกว่า ๑,๖๐๐
คนเสียชีวิตแล้วในทะเล ตามการเปิดเผยขององค์การให้ความช่วยเหลือผู้อพยพ (UNHCR) ที่เจนีวา
จากเดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม ๒๐๑๘ จากประชาชน ๑๘
คนที่ข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ๑ คนเสียชีวิตหรือสูญหาย ในช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๐๑๗ จากประชาชน ๒
คนมีผู้หนึ่งเสียชีวิตหรือสูญหาย
ส่วนใหญ่จมน้ำตาย UNHCR ได้เรียกร้องให้ประเทศริมฝั่งทะเลจัดตั้งหน่วยบริการที่เชื่อถือได้ให้การช่วยเหลือกรณีฉุกเฉินในทะเล
มะเร็งเลี่ยงได้
ตามการคำนวณของศูนย์วิจัยมะเร็งเยอรมัน
(DKFZ) เกือบทุก ๑ ใน ๕
กรณีโรคมะเร็งที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่ในปีนี้มาจากการสูบบุหรี่ จากผู้ป่วยใหม่ที่คาดหมาย ๔๔๐,๐๐๐ คน ประเมินว่า
๘๕,๐๐๐ คนเกี่ยวพันกับการเสพยาสูบ
ผู้เชี่ยวชาญของ DKFZ ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงสำหรับโรคมะเร็ง
โดยการศึกษาชิ้นหนึ่งทำเกี่ยวกับการสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ อีกชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับการมีน้ำหนักมากเกินไป
กิจกรรมทางกายน้อยและการบริโภคที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
การตรวจสอบชิ้นที่สามเกี่ยวกับอิทธิพลของการติดเชื้อและปัจจัยสิ่งแวดล้อม
เช่น ฝุ่นไมโคร จากผู้ป่วยโรคมะเร็งใหม่
๔๔๐,๐๐๐ คนที่คาดหมายในปี ๒๐๑๘ ในวัยระหว่าง ๓๕-๘๔ ปีราว ๑๖๕,๐๐๐ คน (๓๗.๔%) เกี่ยวพันกับปัจจัยเสี่ยงที่ได้รับการตรวจสอบ ดังนั้น จากผู้ป่วยมะเร็ง ๕ คนราว ๒
คนสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการใช้ชีวิตที่ถูกสุขลักษณะกว่าเดิม ตามความรู้
ส่วนใหญ่ของกรณีที่หลีกเลี่ยงได้มาจากการสูบบุหรี่
นักวิจัยเห็นว่าเนื่องจากไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น
รังสีอุลตราไวโอเลตด้วย สัดส่วนมะเร็งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ตามจริงอาจให้สูงกว่านี้ แต่ที่แน่ชัดคือแม้แต่ลักษณะการใช้ชีวิตตามแบบอย่างที่ดี
ก็ไม่ได้ให้การปกป้องอย่างสิ้นเชิงจากมะเร็ง
วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2561
การปรับเปลี่ยนเวลาในยุโรป
เสียงที่ไม่เห็นด้วยกับการปรับเปลี่ยนเวลาในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงได้รับการสนับสนุน ในการสอบถามทั่วสหภาพยุโรป
เสียงส่วนใหญ่ต่อต้านการคงไว้ซึ่งการปรับเปลี่ยนเวลาแบบที่เคยมีมา ในการสอบถามที่เพิ่งจบสิ้นลงของคณะกรรมาธิการ EU มีคำตอบเข้ามาราว ๔.๖ ล้านเสียง
ตามตัวเลขที่รั่วไหลจากวงใน ปรากฎว่าเสียงมากกว่า ๘๐% เห็นด้วยกับการยกเลิกการปรับเปลี่ยนเวลา
ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับเวลาฤดูร้อนถาวร
ที่น่าสังเกต คือ จากการตอบ ๔.๖ ล้านเสียง มากกว่า ๓ ล้านมาจากประเทศเยอรมัน
ต่อมาไม่กี่วันหลังสิ้นสุดการสอบถามในอินเตอร์เน็ต
Jean-Claude
Juncker ประธานคณะกรรมาธิการได้ประกาศว่ายุโรปจะใช้เวลาฤดูร้อนตลอดทั้งปี
การที่การปรับเปลี่ยนเวลานาฬิกาสองครั้งต่อปีกำลังจะสิ้นสุดลง
มีท่าทีบ่งบอกในวันหลัง ๆ และในวันที่ ๓๑
สิงหาคมที่ผ่านมา Juncker ได้ยืนยันว่าข้อเสนอของสำนักงานของเขาจะเป็นไปในทิศทางใด โดยเขาชี้แจงที่บรัสเซลส์ ว่าหลายล้านคนมีความเห็นว่าเวลาฤดูร้อนใช้ได้กับทุกฤดูกาล ซึ่งก็จะเป็นเช่นนั้น เขามีความเห็นว่าประเทศสมาชิกและรัฐสภา
EU ก็เห็นด้วยและย้ำต่อไปว่าประชาชนประสงค์อย่างนั้น เราก็จะทำอย่างนั้น
ขณะเดียวกัน
กรรมาธิการคมนาคมของ EU Violeta Bulc แจ้งให้ทราบว่า
๘๔% ของพลเมือง EU ๔.๖
ล้านคนที่ลงคะแนนเสียงเห็นด้วยกับอวสานของการปรับเปลี่ยนเวลา
เธอประกาศว่าขณะนี้จะตระเตรียมข้อเสนอที่เข้ากัน
ขณะนี้มีการรอคอยด้วยความตื่นเต้นว่าทางการจะให้มีเขตเวลาที่เป็นหนึ่งเดียวกันสำหรับประเทศสมาชิกทั้ง
๒๗ ประเทศจริง หรือปล่อยให้ประเทศสมาชิกกำหนดเวลาเอง
จนถึงปัจจุบันประเทศบอลข่านเห็นด้วยกับเวลาฤดูร้อน กระนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียประสงค์จะคงเวลาปกติของทุกวันนี้ไว้
ระหว่างที่ในภาคตะวันตกและภาคใต้ค่อนข้างนิยมเวลาฤดูร้อน ตัวอย่างเช่น นายก ฯ Angela
Merkel ของประเทศเยอรมัน
แต่ไม่คาดว่าจะมีการต่อต้านสูง
รัฐสภา EU ได้เห็นด้วยกับอวสานของการปฏิบัติทุกวันนี้มาหลายเดือนแล้ว
แต่แรกทีเดียวคณะกรรมาธิการได้เรียกร้องการตรวจสอบต่อไปก่อน
ในวันที่ ๓๑
สิงหาคมที่ผ่านมาผู้แทนส่วนส.ส.พรรคใหญ่แทบทุกพรรคแสดงความตื่นเต้นยินดี Ismail Ertug จากพรรคสังคมประชาธิปไตย(SPD) ถึงกับเรียกร้องหลังการสอบถามให้มีการสอบถามคล้ายคลึงกันนี้กับการตัดสินใจของ
EU อื่น ๆ เช่น
การเก็บภาษีสินค้ายาสูบหรือกฎเกณฑ์การจ่ายน้ำในคอมมูน ตามความปรารถนาของผู้มีส่วนร่วมทั้งหมด
เวลาใหม่ควรมีขึ้นในอีกสองปี ดังนั้น
เดือนมีนาคม ๒๐๒๐
อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะปรับนาฬิกาเป็นเวลาฤดูร้อนและคงไว้เช่นนั้น เงื่อนไขคือการเห็นพ้องต้องกันในรัฐสภา EU
ภายในเดือนต่อ ๆ ไป
เนื่องจากตัวแทนราษฎรเช่นเดียวกับคณะกรรมาธิการจะได้รับเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า นอกจากนั้น ประเทศสมาชิกยังต้องลงคะแนนเสียงเห็นด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)