เอกอัครราชทูต วิญญู แจ่มขำ
หยวน สุ่ย หนาน จิ้วจิ้นหั่ว น้ำไกล ไม่อาจดับไฟที่กำลังลุก
หย่วน ชิน ปู้หยูจิ้น หลิน เพื่อนใกล้ ช่วยคลายทุกข์เร็วกว่าญาติที่ห่างเหิน
เมื่อนโยบายโดดเดี่ยวสาธารณรัฐประชาชนจีนของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรประสบความล้มเหลว สาธารณรัฐประชาชนจีนก็ได้ก้าวขึ้นสู่เวทีการเมืองของโลกอย่างเต็มที่ หลายฝ่ายมองบทบาทใหม่ของสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีต่อสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร เหตุผลก็คือ แต่ไหนแต่ไรมา สาธารณรัฐประชาชนจีนเคยโจมตีจักรวรรดิ์นิยมอเมริกาและพันธมิตรอย่างเผ็ดร้อน และอย่างไม่ลดวาราศอก
ท่าทีใหม่นี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน สื่อมวลชนบางแห่งเรียกท่าทีนี้ว่าเป็นนโยบายอ่อนข้อและว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนเริ่มตระหนักถึงความจริงที่ควรเรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับประเทศ
ฝ่ายทุนนิยม บางฝ่ายก็ย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อครั้งที่สาธารณรัฐประชาชนจีนขัดแย้งกับสหภาพโซเวียต เมื่อปี ๒๕๐๓ ติดตามด้วยการโต้แย้งเรื่องอุดมการณ์และการพิพาทเรื่องพรมแดนระหว่างกันแล้วก็ตัดสินว่าไมตรีจิตที่สาธารณรัฐประชาชนจีนทอดให้แก่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตร เป็นผลจากความหวาดกลัวอิทธิพลรุกรานของสหภาพโซเวียตในครั้งกระนั้นเป็นสำคัญ หรือไม่ก็เพื่อแข่งขันกับสหภาพโซเวียตเข้าแทนที่ช่องว่างแห่งอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกไปแล้ว
ความจริง นโยบายต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีนในยุคนั้นได้รับการกำหนดไว้ก่อนนานแล้ว กล่าวคือ ทางด้านหลักการและเป้าหมาย นโยบายต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีนอุทิศให้แก่ “สากลนิยมชนชั้นกรรมาชีพ” ปฏิบัติการเพื่อให้บรรลุ “สามัคคีกับประชาชนและประชาชาติที่ถูกกดขี่ทั่วโลก….. จัดตั้งเป็นแนวร่วมอย่างกว้างขวาง เพื่อต่อต้านลัทธิจักรวรรดิ์นิยม ลัทธิล่าอาณานิคมและลัทธิล่าเมืองขึ้นแบบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อต้านลัทธิครองความเป็นเจ้าของอภิมหาประเทศสหรัฐอเมริกา และสังคมจักรวรรดิ์นิยมสหภาพโซเวียต”
แนวนโยบายนี้ชี้ให้เห็นว่า ทางด้านหลักการ สาธารณรัฐประชาชนจีนยังคงยึดมั่นอุดมการณ์ของลัทธิม้าร์กซ- เลนิน อย่างแข็งขัน แต่วิธีการที่จะให้บรรลุเป้าหมายนั้น ย่อมพลิกแพลง ยืดหยุ่น และหลากหลายรูปแบบ สุดแล้วแต่เงื่อนไขทางภววิสัยและอัตวิสัย คือแล้วแต่สถานการณ์ทั่วไป ทั้งของโลกและของสาธารณรัฐประชาชนจีนเองในแต่ละช่วง และแต่ละตอนเป็นเกณฑ์กำหนด
แม้สาธารณรัฐประชาชนจีนเคยเน้นอยู่เสมอว่า “จักรวรรรดิ์นิยมทั้งปวง ล้วนเป็นเสือกระดาษ” แต่อีกด้านหนึ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีนก็ไม่ประมาทว่า “จักรวรรดิ์นิยมมีความดุร้าย…….
จักรวรรดิ์นิยมจะไม่มีวันวางดาบเพชฌฆาตของมันลงเองอย่างเด็ดขาด” ถ้าเช่นนั้นประชาชนที่ปฏิวัติซึ่งมีแต่มือเปล่า ๆ จะชิงชัยชนะศัตรูที่ติดอาวุธตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสงครามยืดเยื้อได้อย่างไร
สาธารณรัฐประชาชนจีนเห็นว่า การโค่นล้มจักรวรรดิ์นิยม เป็นภาระหน้าที่ร่วมกันทางประวัติศาสตร์ของประชาชนทั่วโลก เพราะ “ในยุคที่จักรวรรดินิยมยังดำรงอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่ประชาชนที่ปฏิวัติในแต่ละ
ประเทศจะมีชัยชำนะได้โดยปราศจากการช่วยเหลือรูปแบบต่าง ๆ จากพลังฝ่ายปฏิวัติทั่วโลก” ในฐานะที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประเทศสังคมนิยม ต้องถือเป็นภาระหน้าที่สากล เลนินกล่าวว่า
“การเจรจาระหว่างประเทศฝ่ายปฏิวัติกับประเทศฝ่ายจักรวรรดิ์นิยม เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จะลดความเสียหายที่จักรวรรดิ์นิยมอาจก่อขึ้น ช่วยให้การจับและสังหารพวกเขา เป็นไปอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น”
ในขณะที่เกียรติภูมิของสหรัฐอเมริกากำลังเพลี่ยงพล้ำในเวทีการเมืองระหว่างประเทศก็เป็นระยะเดียวกับที่สถานการณ์ภายในสาธารณรัฐประชาชนจีนมีสภาพเป็นปึกแผ่นระยะหนึ่ง เนื่องจากการปฏิวัติวัฒนธรรม (ปี ๒๕๐๙ – ๒๕๑๒) ทั่วทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในขณะนั้นเป็นเอกภาพ
มีความมั่นคงทางการเมือง และตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ เป็นต้นมา เกียรติภูมิของสาธารณรัฐประชาชนจีนในยุคนั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ ความมั่นคงภายในเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีนพร้อมรับมือ
สถานการณ์ทุกรูปแบบ และเมื่อสหรัฐอเมริกาเริ่มเปลี่ยนท่าทีจากศัตรูมาเป็นมิตร โดยหวังกอบกู้ชื่อเสียงและฐานะของตน อีกทั้งหวังว่า การสร้างสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน จะช่วยให้การถอนตัวออกจากสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นไปอย่างมีเกียรติที่สุด สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงไม่มีเหตุผลอื่นใด ที่จะไม่รับไมตรีนั้น ฉะนั้น เมื่อสหรัฐอเมริกาไม่อยู่ในฐานะที่พึ่งได้ รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงต้องหันไปคบค้าสาธารณรัฐประชาชนจีน แม้ว่าเกลียดกล้วและต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสม์ก็ตาม
สาธารณรัฐประชาชนจีนดำเนินนโยบายต่างประเทศต่อทุกประเทศที่มีระบอบการปกครองไม่เหมือนของตน จากพื้นฐานของระดับสองระดับที่แตกต่างกัน แลดูขัดแย้งกัน แต่ก็ปฏิบัติพร้อม ๆ กัน นโยบายดังกล่าวมีอธิบายไว้ในบทนำของนิตยสารธงแดง (หง ฉี) เมื่อปี ๒๕๐๓ เรื่อง “ลัทธิเลนินจงเจริญ” ว่า “หลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับประเทศต่าง ๆ และสงครามปฏิวัติของประชาชนในประเทศต่าง ๆ เป็น
เรื่องสองเรื่องที่แตกต่างกัน ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน……………”การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ” หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ “การปฏิวัติ” หมายถึงการโค่นล้มชนชั้นที่กดขี่ขูดรีดโดยประชาชนภายในประเทศนั้น ๆ …”
“สาธารณรัฐประชาชนจีน ต้องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับทุกประเทศที่มีระบอบสังคมต่างกันตามหลักปัญจศีลา ไม่ต้องการเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศใด ๆ แต่โดยหลักการของสังคมนิยมนั้นต้องปลดเปลื้องการกดขี่ขูดรีดระหว่างคนกับคน สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงสนับสนุนและต่อต้านการกดขี่ขูดรีดของประชาชนในประเทศต่าง ๆ ที่เป็นเมืองขึ้นของประเทศและระบอบจักรวรรดิ์นิยมต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีนถือว่า การปฏิวัติของประชาชนในแต่ละประเทศ เป็นกิจการภายในประเทศนั้น ๆ และการปฏิวัติไม่ใช่สินค้าที่จะนำเข้าหรือส่งออกได้ ถ้าไม่ใช่เป็นความต้องการของประชาชนเองแล้ว ใครจะปลุกปั่นอย่างไรก็ไม่สำเร็จ แต่ถ้าประชาชนถูกกดขี่และต้องการปลดแอกแล้ว เมื่อนั้น ถึงแม้จะไม่มีใครสนับสนุน ประชาชนก็จะลุกขึ้นและต่อสู้จนถึงที่สุด”
คำอธิบายที่มีลักษณะคลุมเครือ แบ่งรับแบ่งสู้เช่นนี้ คือสาธารณรับประชาชนจีนไม่ยอมรับว่าเป็นผู้ก่อและสนับสนุนให้เกิดขบวนการปฏิวัติในประเทศต่าง ๆ เพราะการปฏิวัติไม่ใช่สินค้าส่งออก แต่สาธารณรัฐประชาชนจีนก็ไม่ปฏิเสธว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้ความสนับสนุนขบวนการดังกล่าว
การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘ นั้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งบังเกิดจากหลักพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ส่วนความสัมพันธ์ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนพึงมีต่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในขณะนั้น ถือว่าเป็นความสัมพันธ์ทางชนชั้น จากหลักการ “สากลนิยมชนชั้นกรรมาชีพ” อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนถือว่า การให้ความช่วยเหลือขบวนการปฏิวัติของประชาชนในประเทศต่าง ๆ เป็นภาระหน้าที่ทางสากลก็ตาม แต่การช่วยเหลือใด ๆ ต้องอยู่ภายในขอบเขตของการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศนั้น ๆ กล่าวคือ ปัญหาภายในประเทศใด ก็เป็นเรื่องที่แต่ละประเทศต้องแก้ไขด้วยตนเอง สาธารณรัฐประชาชนจีนจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
เป็นที่น่ายินดีที่หลังจากการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันแล้ว สถานการณ์ของโลกและของภูมิภาคได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มิตรภาพระหว่าง ๒ ประเทศ ได้พัฒนาไม่หยุดยั้งมีการแลกเปลี่ยนการเยี่ยมเยือนระหว่างกันหลายระดับ ความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนเพิ่มพูนมากขึ้น สมควรที่ชนรุ่นหลังจักรำลึกถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนซึ่งได้วางรากฐานมิตรภาพไทย – จีนยุคใหม่ ชั่วกาลนาน
ไท่ จง หยิ่ว ยี่ ซื่อ สือเหนียน ไหล เหิน ห่าว มิตรภาพไทย -จีน ผ่านมา ๔๐ ปี ดีมาก
ซี ว่าง ไท่ จง หยิ่ว ยี่ หย่ง ฉุน ขอมิตรภาพไทย – จีน จงดำรงอยู่ต่อไป