วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

ถุงพลาสติคใช้ครั้งเดียว

ถุงพลาสติกถูกทิ้งลงถังขยะหลังใช้งานครั้งเดียวเฉลี่ย ๒๕ นาที  ชาวเยอรมันแต่ละคนใช้ถุง  ๒๐๐ ใบต่อปี  แต่ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๐๑๖ ทุกคนต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใหม่  เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายนที่ผ่านมารัฐสภาสหภาพยุโรปที่ Straßburg ได้เปิดหนทางให้กับการลดการใช้ถุงอย่างหนัก  จนกว่าจะถึงปี ๒๐๑๙ ควรมีการใช้ถุงเพียง ๙๐ ใบต่อคนต่อปี  ในปี ๒๐๒๕ ต้องบรรลุเป้าหมายสุดท้าย ๔๐ ใบ  โดยประเทศสมาชิกมีอิสระในการดำเนินการ  สามารถห้ามการใช้ถุงอย่างสิ้นเชิง ตั้งราคาภาษีที่รู้สึกได้หรือผสมผลานทั้งสองอย่าง  แต่แรกทีเดียวมีผลกระทบเพียงต่อถุงบางที่มีความหนา ๐.๐๕ มิลลิเมตร  ที่ให้ใช้ฟรีในประเทศยุโรปตะวันออกเป็นส่วนใหญ่  ในประเทศเยอรมันเป็นที่รู้จักในร้าน Drogorie จำนวนมาก  มติไม่รวมกลุ่มใหญ่ของถุง ๒ กลุ่ม  โดยไม่กระทบถุงหนามากที่พิมพ์โฆษณาที่ทุกวันนี้ของร้านจำนวนมากต้องชำระค่าธรรมเนียม  ถุงบางมากจากพลาสติกที่บรรจุผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไส้กรอกหรือเนยแข็งได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ต่อไป

ปิดกิจการ

ในปี ๒๐๑๐ อดีตนักเรียนโรงเรียนประจำ Odenwald ได้เปิดเผยการล่วงละเมิดทางเพศของครูที่มีต่อนักเรียน  ๕ ปีหลังการเปิดเผยกรณีอื้อฉาวมีการเปิดเผยการปิดกิจการ  โดยปลายปีนี้โรงเรียนประจำจะปิดตัวลง  มีการระบุว่าแม้จะมีความพยายามอย่างหนัก  โรงเรียนก็ไม่ประสบความสำเร็จในการหาเงินมาสนับสนุนปีการศึกษา ๒ ปีข้างหน้า  จำนวนนักเรียนหลังกรณีอื้อฉาวลดจำนวนลง  ทั้งที่ข้อกล่าวหาที่ได้รับการเปิดเผยในปี ๒๐๑๐ ไม่ใช่เรื่องใหม่  ตั้งแต่ปี ๑๙๙๙ อดีตนักเรียน ๕ คนได้เปิดเผยการล่วงละเมิดทางเพศจาก Gerold Becker อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน  ทำให้เบคเกอร์ลาออกจากทุกตำแหน่งที่โรงเรียน  แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านี้  แต่ในปี ๒๐๑๐ คลื่นการเปิดเผยไม่ได้ครอบคลุมเพียงแต่สถานที่ทำการของโบสถ์  หากแต่โรงเรียนโอเดนวาลด์ด้วย  ในเดือนมีนาคม Margarita Kaufmann ผู้อำนวยการโรงเรียนในครั้งนั้นได้เปิดเผยว่าอดีตนักเรียนได้รายงานการล่วงละเมิดทางเพศในทศวรรษที่ ๗๐ และ ๘๐  คลื่นการรายงานตัวติดตามมา ในรายงานสรุปล่วงหน้านับได้เด็กชาย ๑๑๕ คน เด็กหญิง ๑๗ คนที่โรงเรียนโอเดนวาลด์ในฐานะเหยื่อความรุนแรงทางเพศระหว่างปี ๑๙๖๕-๑๙๙๘  ในรายงาน ผู้กระทำการเป็นครูและพนักงานชาย ๑๓ คน ครูหญิง ๑ คนและเพื่อนนักเรียน ๔ คน  ไม่มีใครต้องได้รับโทษทางกฎหมาย  เนื่องจากการกระทำผิดหมดอายุความไปแล้ว  การเรียกร้องค่าเสียหายให้เหยื่อนำไปสู่การทะเลาะที่ขื่นขมระหว่างสมาคมโรงเรียนและสมาคมผู้เคราะห์ร้าย  การเรียกร้องให้มีการคลี่คลายทางวิชาการของการปฏิบัติมิชอบทางเพศที่ทำเป็นระบบ สมาคม ฯ ก็ขัดขวางอยู่นาน  จนในเดือนมีนาคม ๒๐๑๔ ได้ลงมติให้นักวิชาการเป็นผู้รับการมอบหมาย  แต่ในปีเดียวกันโรงเรียนก็เป็นข่าวพาดหัวทางลบอีกครั้งหนึ่ง  โดยมีการไต่สวนครูผู้หนึ่งเนื่องจากการครอบครองภาพโป๊เปลือยเด็ก  เป็นการเริ่มต้นการอวสาน  ในเดือนพฤษภาคมกระทรวงสังคมของแคว้นเฮสเซนได้ประกาศการตรวจสอบใบอนุญาตประกอบกิจการ  ในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมโรงเรียนได้ปลดผู้บริหาร ๓ คนออก  ในเดือนสิงหาคมกระทรวงสังคมได้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการเพียงสำหรับ ๑ ปีและวางเงื่อนไข  ในเดือนตุลาคมโรงเรียนได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างในที่สุด  ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้ว่าจ้างตำแหน่งผู้บริหารทั้งสามที่ว่างอยู่ใหม่  แต่ช้าเกินไป  จำนวนนักเรียนลดลงสม่ำเสมอ  ช่วงเริ่มต้นปีการศึกษานี้มีการต้อนรับเด็ก ๑๔๓ คน  น้อยกว่าปีการศึกษาที่ผ่านมาราว ๕๐ คน  ซึ่งน้อยเกินไปที่จะทำให้กิจการอยู่ได้  ท้ายสุดไม่มีเงินกู้อีกต่อไปด้วย  โรงเรียนได้เสี่ยงกับความไว้วางใจ

การหย่าลดลง

ที่แคว้นนอร์ดไรน์-เวสฟาเลน จำนวนการหย่าร้างลดลงอยู่ในระดับต่ำสุดนับแต่ปี ๑๙๙๓  ในปี ๒๐๑๔ มีการแยกทางกัน ๓๙,๔๘๙ กรณี  ซึ่งเป็นจำนวนการหย่าร้างที่ต่ำที่สุดนับแต่ปี ๑๙๙๓  โดยปีที่วิกฤตไม่ใช่ปีที่เจ็ด  การหย่าร้างส่วนใหญ่เกิดขึ้นในชีวิตสมรสปีที่ ๖ (๒,๐๕๑ กรณี)  หลัง ๕ ปีการสมรสสิ้นสุดลง ๒,๕๔๕ กรณี  หลัง ๗ ปี ๒,๐๒๓ กรณี  ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติของแคว้น คู่สมรส ๖๒ คู่ยื่นเรื่องขอหย่าร้างหลัง ๕๐ ปีของชีวิตสมรส  ๕,๒๒๐ คู่แยกทางกันหลังการสมรสครบรอบ ๒๕ ปี  ชีวิตสมรสที่หย่าร้างกันเฉลี่ยอยู่ด้วยกัน ๑๔.๕ ปี  นานกว่าเมื่อ ๑๐ ปีก่อน ๑๖ เดือน  มากกว่าครึ่งหนึ่งของการหย่าร้าง สตรีเป็นผู้ไปพบทนาย  ในการหย่าร้างทุก ๑ ใน ๒ คู่มีเด็กวัยยังไม่บรรลุนิติภาวะได้รับผลกระทบอย่างน้อย ๑ คน  ในแคว้นนอร์ดไรน์-เวสฟาเลนเมื่อ ๑๐ ปีก่อนมีคู่สมรสมากกว่า ๕๑,๐๐๐ คู่หย่าร้างกัน  มากกว่าทุก ๑ ใน ๒ คู่มีบุตรวัยยังไม่บรรลุนิติภาวะ  สาเหตุสำหรับจำนวนการหย่าร้างที่ลดถอยลง ได้แก่ ในปีที่ผ่านมาการสมรสลดลงอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ของแคว้นด้วยจำนวน ๘๐,๐๐๐ คู่

ต้องการผู้อพยพ

ชาวเยอรมันสูงอายุมากขึ้นทุกทีและมีจำนวนน้อยลงทุกที  ทุกวันนี้ประชาชนมากกว่า ๘๐ ล้านคนใช้ชีวิตอยู่ในสหพันธ์สาธารณรัฐ  ในปี ๒๐๖๐ จะมีพลเมืองลดลงเหลือเพียง ๖๗-๗๓ ล้านคน  ขึ้นอยู่กับว่าถึงขณะนั้นมีผู้อพยพเข้ามาเท่าใด  ทั้งนี้ เป็นการคำนวณของสำนักงานสถิติแห่งชาติ  ทุกวันนี้ทุก ๑ ใน ๕ คนอายุ ๖๕ ปีหรือแก่กว่า  ในปี ๒๐๖๐ จะเป็นทุก ๑ ใน ๓ คน  จนถึงขณะนั้นจำนวนประชาชนที่วัยสูงกว่า ๘๐ ปีจะเพิ่มขึ้น ๒ เท่า  ตรงกันข้ามกลุ่มที่ทำงานและชำระเงินเข้ากองคลังประกันบำนาญและประกันสังคมจะเล็กลงอย่างไม่หยุดยั้ง  มันเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านประชากรและหมายความว่ามีภาระหนักรอระบบบำนาญและสุขภาพอยู่ข้างหน้า  ผู้ทำงานน้อยลงทุกทีต้องจ่ายเงินให้กับผู้เกษียณมากขึ้นทุกที  ประชาชนอายุน้อยจำนวนน้อยลงทุกทีต้องรับผิดชอบผู้ต้องการการดูแลมากขึ้นทุกที  ตลาดแรงงานมุ่งเข้าสู่การขาดแคลนแรงงานมีฝีมืออย่างหนัก  ในภูมิภาคชนบทจะว่างเปล่าขึ้นเรื่อยๆ  ประชาชนอายุน้อยจะย้ายไปที่อื่น  ในหลายส่วนของสาธารณรัฐ โรงเรียนและสถานเลี้ยงดูเด็กต้องปิดตัวลง ซูเปอร์มาร์เกต สาขาธนาคาร ไปรษณีย์และสถานที่ราชการปิดกิจการ คลีนิคแพทย์ก็เช่นเดียวกัน
Ludger Pries นักสังคมวิทยาจากโบคุมกล่าวว่าพัฒนาการด้านประชากรเป็นเหมือนโรค  ประเทศเยอรมันจะรับรู้การแก่ตัวลงของสังคมในวิถีทางที่เป็นโศกนาฏกรรม  ประเทศต้องพึ่งพาผู้อพยพอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อต้านการเปลี่ยนแปลง  แต่ก็มีขอบเขตจำกัด  แม้หากสหพันธ์สาธารณรัฐในปีต่อ ๆ ไปจะบรรลุการอพยพของประชาชน ๒๐๐,๐๐๐ คนต่อเนื่องทุกปี  โดยเป็นประชาชนในวัยทำงานระหว่าง ๒๐-๖๔ ปี กระนั้นจนกว่าจะถึงปี ๒๐๕๐ พลเมืองที่ทำงานได้จะลดลง ๑๐ ล้านคน
ตามการประเมินของ Thomas Bauer นักวิจัยเศรษฐกิจ ผลที่ตามมาคือระยะเวลาทำงานนานขึ้นและเงินบำนาญน้อยลง  นอกจากนั้น สตรียิ่งต้องเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้นและเสริมด้วยผู้อพยพ  แม้ว่าผู้อพยพเพียงลำพังไม่สามารถแก้ปัญหาได้  แต่เป็นปัจจัยที่สำคัญในการตอบรับความท้าทาย  การอพยพอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบกว่า ๒ ทศวรรษเรียบร้อยแล้ว  สหพันธ์สาธารณรัฐเป็นหนึ่งในประเทศอพยพที่ได้รับความนิยมสูงสุดและอยู่ในอันดับ ๒ รองจากสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ดี ความต้องการแรงงานต่างชาติสูงมาก  จนถึงปัจจุบันผู้อพยพส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป  แต่คาดว่าผู้อพพยส่วนมากจะไม่อยู่ถาวร  หากแต่กลับไปยังบ้านเกิดเมื่อใดที่สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่นั่นดีขึ้น   ซึ่งหมายถึงว่าระยะยาวประเทศเยอรมันต้องการผู้อพยพมากขึ้นและผู้อพยพอื่น ๆ เพื่อต่อต้านพัฒนาการด้านประชากรหดหาย
Pries และ Bauer อยู่ในคณะที่ปรึกษาด้านวิชาการของมูลนิธิเพื่อการปรับตัวและการโยกย้ายถิ่นเยอรมัน  ผู้เชี่ยวชาญพบว่าสหพันธ์สาธารณรัฐแซงหน้าขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอพยพดั้งเดิม  นโยบายการอพยพดีกว่าชื่อเสียง  แต่ยังมีอะไรต้องทำอีกมาก  Christine Langenfeld ประธานที่ปรึกษาด้านวิชาการกล่าวว่า  แรงดึงดูดในฐานะประเทศอพยพขึ้นอยู่กับบรรยากาศทางสังคมสูง  ซึ่งตรงนี้มีปัญหา  ประชาชนที่ Dresden และที่อื่นประท้วง “การถูกอิทธิพลต่างด้าวครอบงำ” ของสังคม  การกดขี่ชาวต่างชาติแพร่หลาย การประท้วงต่อต้านผู้ลี้ภัยที่เพิ่มขึ้นและการจู่โจมที่พักผู้ลี้ภัย  การอพยพจะทำให้ประเทศเยอรมันเปลี่ยนแปลงไป  ซึ่งสังคมต้องพูดคุยอย่างเปิดเผย  การเมืองต้องทำให้ประชาชนรับรู้ว่าการอพยพเป็นโอกาสและเป็นเรื่องจำเป็นอย่างที่สุด เนื่องจากการแก่ตัวลงของสังคม  Wilfried Bos ที่อยู่ในคณะที่ปรึกษาเช่นเดียวกันกล่าวว่าบำนาญจะได้รับการชำระจากผู้อพยพและไม่ใช่จากผู้อื่น  บำนาญของผู้ที่อยู่ที่เดรสเดนก็จะได้รับการชำระจากผู้อพยพด้วย

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

วันมาเลเรียโลก

ตั้งแต่ปี ๒๐๐๗ วันที่ ๒๕ เมษายนของทุกปีเป็น “วันมาเลเรียโลก”  ในปีนี้คำขวัญมีว่า “ลงทุนในอนาคต เอาชนะมาเลเรีย”   โดยองค์การสหประชาชาติประสงค์จะรำลึกถึงประชาชนที่ในแต่ละปีเสียชีวิตจากโรคที่แพร่เชื้อโดยยุงลาย  ตามการประเมินขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี ๒๐๑๓ ประชาชนเสียชีวิต ๕๘๔,๐๐๐ คน  ตามการศึกษาของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน แต่ละปีประชาชนถึง ๑.๒ ล้านคนตกเป็นคนไข้โรคนี้  มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้เป็นเด็กวัยต่ำกว่า ๕ ปี  ส่วนใหญ่อยู่ในทวีปอัฟริกา  WHO ประเมินว่าประชาชนราว ๓.๓ พันล้านคนใน ๙๗ ประเทศใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่จะเป็นมาเลเรีย แต่ละปีประชาชน ๓๐๐ ล้านคนป่วยด้วยโรคมาเลเรีย  ความอบอุ่นขึ้นของสภาพภูมิอากาศจะทำให้พื้นที่แพร่ระบาดของยุงลาย (และมาเลเรีย) ในอนาคตจะใหญ่ขึ้น  นอกจากนั้นทั่วโลกมีการดื้อยาฆ่าแมลงและยารักษามาเลเรียมากขึ้นทุกที  กระนั้น ในการต่อสู้กับโรคก็มีความก้าวหน้าสูง  ในประเทศในเอเชียบางประเทศอาจสูญหายไปเลย  ระหว่างปี ๒๐๑๐-๒๐๑๓ อัตราการเสียชีวิตทั่วโลกลดลง ๔๗%  แม้ว่ามูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์จะวิจัยวัคซีนต่อต้านมาเลเรีย  จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีวัคซีนที่ไว้วางใจได้และประชาชนทั่วไปเข้าถึง สามารถจ่ายเงินได้
โรคที่ถูกเรียกว่า “Sumpffieber“ ด้วยได้รับการแพร่เชื้อจากยุงลายตัวเมีย  เชื้อโรคจะเข้าสู่เส้นโลหิตของมนุษย์ผ่านรอยยุงกัด  มาเลเรียมี ๓ ประเภท
  • Malaria Tropica ซึ่งถือว่าเป็นชนิดที่อันตรายที่สุด  นำไปสู่การเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก หากขาดการรักษาหรือรักษาช้าเกินไป  จะพบในป่าร้อนชื้นและกึ่งร้อนชื้นเป็นส่วนใหญ่
  • Malaria Tertiana พบในโซนอากาศที่ไม่รุนแรง เช่นที่ตะวันออกไกลเป็นส่วนใหญ่ โดยทั่วไปมีการบวมที่ม้ามและตับ
  • Malaria Quartana ส่วนใหญ่พบในพื้นที่แออัดในป่าร้อนชื้น

เอ็กซ์โปโลกที่มิลาน

ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมศกนี้เป็นต้นไปในงานเอ๊กซโปที่มิลาน ประเทศอิตาลีจะเป็นหัวข้อเน้นเรื่องตอบโจทย์ที่เร่งด่วนที่สุดในเวลานี้  ในอนาคตจะทำอย่างไรให้ประชาชน ๙,๐๐๐ ล้านคน  มีอาหารกิน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม?  หัวข้อของนิทรรศการโลกที่จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ ๑ พฤษภาคมที่จะถึง ได้แก่ “Feeding the Planet, Energy for Life“ (อาหารเลี้ยงชาวโลก พลังงานสำหรับชีวิต)
ปัญหาพิเศษในการบริโภคของประชากรโลก คือ การบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นและขณะเดียวกันพื้นที่เพาะปลูกก็จะไม่มีเหลือแล้ว  ดังจะเห็นได้ว่า การบริโภคเนื้อสัตว์ที่ในประเทศเยอรมัน  ย่อมส่งผลกระทบไปถึงส่วนอื่นในโลกด้วย
นักวิชาการและนักเคลื่อนไหววิจารณ์ว่า  เนื่องจากปัญหาในการเลี้ยงสัตว์  ธัญพืชที่เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ปริมาณมหาศาลถูกนำไปเลี้ยงสัตว์แทนที่จะอยู่ในจานอาหารของมนุษย์  Wilfried Bommert จากสถาบันเพื่อการบริโภคที่เบอร์ลินกล่าวว่าการแข่งขันกันระหว่างรางอาหารสัตว์และจานอาหารมนุษย์เติบโตขึ้น  ปัญหาอยู่ที่การบริโภคเนื้อสัตว์  ซึ่งทุกวันนี้จำเป็นต้องใช้ส่วนใหญ่ที่สุดของพื้นที่เพาะปลูกของโลก  Matin Qaim นักเศรษฐศาสตร์การเกษตรจากมหาวิทยาลัย Goettingen แน่ใจว่าลักษณะการใช้ชีวิตปัจจุบันในประเทศที่ร่ำรวยไม่โลกาภิวัตน์สำหรับประชาชน ๙,๐๐๐ ล้านคน  ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นต่อไป  ในปี ๒๐๑๑ ก้าวข้ามเกณฑ์ ๗,๐๐๐ พันล้าน  ตามรายงานขององค์การอาหารโลก (FAO) ในปี ๒๐๕๐ ประชาชนราว ๙,๐๐๐ ล้านคนจะใช้ชีวิตอยู่บนโลก  ตามการพยากรณ์ ในอนาคตมนุษย์แต่ละคนเฉลี่ยจะกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมมากขึ้น  และจะมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจากพืช (Biosprit) มากขึ้น  ซึ่งทำให้เป็นปัญหาต้องการพื้นที่เพาะปลูกเช่นเดียวกัน
ตามข้อมูลของ FAO ความต้องการอาหารของโลกจนถึงราวกลางศตวรรษจะเพิ่มขึ้น ๗๐%  กระนั้น ตามข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ ทุกวันนี้ประชาชน ๘๐๕ ล้านคนก็ตกในสภาพหิวโหยแล้ว  เนื่องจากการพยากรณ์นี้ในอนาคตมนุษยชาติควรจะผลิตอาหารอย่างไร ?  ที่นิทรรศการโลกเอ๊กซโปที่มิลานซึ่งจะมีให้ชมจนถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ชาติต่าง ๆ เกือบ ๑๕๐ ประเทศประสงค์จะเจาะลึกระดมความคิดเพื่อตอบคำถามนี้  ศาลาของประเทศเยอรมันหนึ่งในศาลาที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่แสดงงานด้วยขนาด ๒,๖๘๐ ตารางเมตรอยู่ภายใต้หัวข้อ “Fields of Ideas” (พื้นที่แห่งความคิด)  สถานที่จัดงานเอ๊กซโปอยู่ห่างจากสถานีรถไฟกลางของมิลานราวครึ่งชั่วโมงที่สถานีรถไฟใต้ดิน  Rho-Fiera

ของปลอมระบาด

ในปีที่ผ่านมาศุลกากรเยอรมันนำเครื่องสำอางปลอมมากกว่า ๑.๕ ล้านชิ้นออกจากวงโคจรตลาด  ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายปลอมที่เพิ่มขึ้นราวครึ่งหนึ่งเบียดเสื้อผ้ายี่ห้อที่ทำเลียนแบบตกจากอันดับหนึ่งของบัญชีของเลียนแบบ  โฆษกของศุลกากรที่ Krefeld กล่าวเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายนที่ผ่านมาที่โซลิงเกนว่า ผลิตภัณฑ์เพื่อบำรุงผิวที่ยึดได้ที่พรมแดนมีมูลค่ามากกว่า ๒๒ ล้านยูโร  ในการต่อสู้กับน้ำหอมปลอมในปฏิบัติการ “Plagiarius“ หน้าพิพิธภัณฑ์ที่โซลิงเกน มีขวดน้ำหอมมากกว่า ๗,๖๐๐ ขวดถูกทิ้งในคอนเทนเนอร์  ตามข้อมูลของศุลกากร ของปลอมส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน  ปลายปีที่แล้วของปลอมได้ตกอยู่ในมือของผู้ตรวจตราที่ฮัมบวร์ก  สมาคมเครื่องสำอาง VKE ชี้แจงว่าหากมีการซื้อขายที่ตลาดนัดหรือในอินเตอร์เน็ตจะมีความเสียหายทางเศรษฐกิจประเมินว่า ๒ ล้านยูโร   สมาคม ฯ ได้เตือนเนื่องในโอกาส “วันทรัพย์สินทางปัญญา” ถึงการปลอมแปลง  ซึ่งส่วนมากของปลอมมีสารประกอบที่คุณภาพต่ำหรือคุณภาพกลิ่นน้อย

นอร์ดไรน์-เวสฟาเลน ๒๐๔๐

ประชากรในแคว้นนอร์ดไรน์-เวสฟาเลนไม่หดตัว  แต่กลับเติบโตอย่างน่าประหลาดใจจนถึง ๒๐๒๕  หลังการคาดประเมิณตัวเลขครั้งใหม่ การถดถอยของพลเมืองเริ่มต้นขึ้นช้ากว่าที่ผู้เชี่ยวชาญคาดหมายอย่างชัดเจน  สาเหตุ ได้แก่ จำนวนการอพยพโยกย้ายถิ่นที่สูง  แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงด้านประชากรจะมีขึ้น  แต่ล่าช้ากว่าที่คาดหมายถึง ๒๐ ปี  ทั้งนี้ มาจากการวิเคราะห์ที่ได้รับการเปิดเผยเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายนที่ผ่านมา  หลังการคำนวณล่าสุดของสำนักงานสถิติของแคว้น จนกว่าจะถึงปี ๒๐๒๕ จำนวนผู้อยู่อาศัยในแคว้นยังจะเพิ่มขึ้น ๑% เป็น ๑๗.๗ ล้านคน  ทำให้แคว้นนอร์ดไรน์-เวสฟาเลนจะมีผู้อยู่อาศัยมากกว่าที่การวิเคราะห์ข้อมูลเก่า ซึ่งคำนวณไว้ ๓๑๕,๐๐๐ คน  ขณะที่จำนวนอัตราการเกิดจะลดลงต่อไป  ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นที่ส่วนใหญ่ยังอายุน้อยทำให้มีความต้องการใหม่สำหรับสถานที่เลี้ยงดูเด็กและที่ว่างในโรงเรียน  ตามการพยากรณ์ ในปี ๒๐๔๐ จำนวนประชาชนทั่วแคว้นจะลดลง ๐.๕% เหลือ ๑๗.๕ ล้านคน  จนกว่าจะถึงปี ๒๐๖๐ การถดถอยด้วยจำนวน ๖% ยังสูงเพียงครึ่งเดียวของที่คาดกันในการพยากรณ์เดิม  เนื่องจากไม่ได้คาดหมายการอพยพที่สูงขนาดนี้  ในปี ๒๐๑๕ ในแคว้นมีผู้อยู่อาศัยมากกว่าที่พยากรณ์กัน ๓๑๕,๐๐๐ คน  การคำนวณตัวเลขล่าสุดเป็นการคำนวณบนพื้นฐานของการนับจำนวนประชากรในปี ๒๐๑๑  จนกว่าจะถึงปี ๒๐๒๕ จำนวนเด็กจนถึงวัย ๖ ปีจะเพิ่มขึ้น ๓๐,๐๐๐ คน  ดังนั้น ในระยะปานกลางจึงไม่สามารถลดตำแหน่งครูและชั้นเรียนลง  ขณะเดียวกัน สำหรับปี ๒๐๓๐ สามารถคำนวณประชาชนในวัยทำงานมากกว่าที่คาดหมาย ๔๐๐,๐๐๐ คน  จนถึงปี ๒๐๔๐ ทั่วแคว้นมีความแตกต่างอย่างหนักในการพัฒนาประชากร  โดยจำนวนผู้อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นในเมืองใหญ่ ๆ เช่น ดุสเซลดอร์ฟ โคโลญน์ บอนน์ เอสเซน มืนสเตอร์ และเลเวอร์คูเซน  ตรงกันข้าม ในภูมิภาครูห์รจำนวนผู้อยู่อาศัยลดลง ๓.๕%

ศิลปินในวงการเพลงภาษาเยอรมัน (127) Werner Leismann

เอกอัครราชทูต  วิญญู  แจ่มขำ
            ศิลปิน ฯ คนนี้เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ศกนี้เอง หลังจากเจ็บป่วยมานานเขาคือนาย Werner Leismann นักร้องเพลงสมัยนิยมและนักแสดงชาวเยอรมัน เกิดที่เมือง Schmallenbergแคว้นไรน์ ปัจจุบันคือรัฐน้อร์ดไรน์-เว้สท์ฟาเล่น เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๓๖ (พ.ศ. ๒๔๗๙) แต่นาง Renate Leismann ภรรยาของเขาซึ่งเกิดที่เมืองเดียวกัน  เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ค.ศ. ๑๙๔๒ (พ.ศ. ๒๔๘๕) และเป็นนักร้องและนักแสดงเช่นกัน ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งคู่ร้องเพลงด้วยกันโดยใช้ชื่อ Renate & Werner Leismann ตลอดมาถึงแม้อายุมากแล้วก็ตาม จึงขอร่วมอาลัยกับสมาชิกในครอบครัวของเขาด้วย

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

เสียชีวิตจากการต่อสู้

กลุ่มหัวรุนแรงจำนวนมากขึ้นทุกทีมาจากประเทศเยอรมัน  พวกเขาพร้อมที่จะเสียชีวิตในต่างแดนเพื่ออุดมคติเกี่ยวกับนักสู้อิสลาม  สำนักงานเพื่อการปกป้องรัฐธรรมนูญเปิดเผยข้อมูลเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายนที่ผ่านมา  ว่าระหว่างนี้  Salafisten ราว ๘๕ คนที่เดินทางจากประเทศเยอรมันเสียชีวิตที่ประเทศซีเรียหรืออิรัก  รวมทั้งสิ้นมีพวกหัวรุนแรงราว ๖๘๐ คนที่เดินทางจากประเทศเยอรมันไปยังพื้นที่ต่อสู้  ระหว่างนี้ ๑ ใน ๓ ในจำนวนนี้กลับมาอยู่ในประเทศเยอรมันอีกครั้งหนึ่ง
Hans-Georg Maaßen ประธานสำนักงานปกป้องรัฐธรรมนูญเตือนว่าคลื่นการเดินทางออกไปยังพื้นที่ต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป  ไม่มีลดน้อยลง
ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาสำนักงานสืบราชการลับภายในประเทศคาดว่าจำนวนผู้เดินทางออกไปอยู่ที่ราว ๔๐๐ คน  ตามความรู้ของสำนักงานปกป้องรัฐธรรมนูญ ภายใต้ผู้หวนกลับคืนในระหว่างนี้อย่างน้อย ๕๐ คนมีประสบการณ์จากการต่อสู้  ทางการเยอรมันจัดผู้หวนคืนที่เคยสู้รบแล้วว่าเป็นความเสี่ยงเป็นพิเศษ  สำนักงานปกป้องรัฐธรรมนูญประเมินจำนวน Salafisten ว่าอยู่ที่ราว ๗,๓๐๐ คน  และแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า

ในอนาคตในประเทศเยอรมันควรห้ามขาย E-Zigarette และ E-Shisha ให้กับเด็กและเยาวชนอีกต่อไป  Manuela Schwesig รัฐมนตรีครอบครัวกล่าวเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายนที่ผ่านมาที่เบอร์ลิน ว่า  ไม่ว่ามีหรือไม่มีนิโคติน  บุหรี่ไฟฟ้าเป็นตัวทำลายสุขภาพ โดยเฉพาะสำหรับเด็กและเยาวชน  ดังนั้น จึงควรถูกห้ามขาย
Christian Schmidt รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการบริโภคกล่าวถึง “หลักไมล์สำหรับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ”  เกี่ยวกับความเสี่ยงและการใช้บุหรี่และกล้องสูบไฟฟ้า รวมทั้งการห้ามสำหรับผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะได้รับการถกเถียงมานานแล้ว  Schwesig ชี้แจงว่าเป็นความจำเป็นที่จะปิดช่องโหว่ที่มีอยู่ในกฎหมายคุ้มครองเยาวชน

รำลึกการสังหารหมู่ชาวอาร์เมเนียน

        ลำพังการประกาศอย่างเป็นทางการของพิธีรำลึกที่มหาวิหารที่เบอร์ลินตามสายตาของประเทศตุรกีก็เป็นการยั่วยุแล้ว  พิธีสวดมีขึ้นเพื่อ “รำลึกถึงการสังหาร´ชาวอาร์เมเนียน (Armeniern Aramaeern)  และ Ponts-Griechen“  ประเทศตุรกีในฐานะทายาทของราชอาณาจักรออตโตมานไม่ยอมรับคำนี้ ผู้ก่อการทารุณกรรมในอดีตและปฏิเสธตัวเลขของนักประวัติศาสตร์ที่ระบุว่าประชาชนมากกว่า ๑ ล้านคนได้ถูกสังหารในการสังหารหมู่เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน
ประธานาธิบดี Joachim Gauck กล่าวว่าชะตากรรมของชาวอาร์เมเนียนเป็น “ตัวอย่างสำหรับประวัติศาสตร์ของการทำลายล้างหมู่  การล้างเผ่าพันธุ์ การขับไล่ การสังหารราษฎร” ที่แสดงภาพศตวรรษที่ ๒๐ ในแบบที่น่าสะพรึงกลัว  ในตำแหน่งอื่นของสุนทรพจน์ Gauck ยิ่งชัดแจ้งขึ้นและกล่าวอย่างชัดเจนถึง “การสังหารหมู่ชาวอาร์เมเนียน”  การระบุนี้เขาร้อยเรียงในประโยคที่กล่าวเกี่ยวกับการร่วมรับผิดชอบของชาวเยอรมันต่อการทำลายล้างเผ่าพันธุ์  ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ชาวเยอรมันเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของราชอาณาจักรออตโตมาน  เขากล่าวว่ากองทัพเยอรมันมีส่วนในการวางแผนและบางส่วนในการดำเนินการเนรเทศด้วย
ขณะเดียวกันประธานาธิบดี Gauck ได้เตือนว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ลดการถกเถียงลงเพียงความขัดแย้งเกี่ยวกับคำศัพท์ที่ใช้  แต่เป็นเรื่องที่ควรตระหนัก เรียกร้องมโนธรรม และจิตสำนึกเสียใจต่อการทำลายล้างราษฎรกลุ่มหนึ่งตามความเป็นจริงที่น่าตระหนก
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเยอรมันและตุรกีอาจเสี่ยงมีปัญหาผ่านสุนทรพจน์นี้ได้  รัฐบาลตุรกีได้ประท้วงต่อต้านการแถลงของคณะ Nationalrat ของประเทศออสเตรียเกี่ยวกับการสังหารราษฎรตั้งแต่เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายนที่ผ่านมาและได้เรียกตัวทูตกลับจากกรุงเวียนนา  มีการระบุว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองเสียหายเป็นการถาวร
ก่อนหน้าพิธีรำลึกในประเทศเยอรมัน นายก ฯ Ahmet Davutoglu ของประเทศตุรกีได้พยายามแทรกแซงผ่านนายก ฯ Angela Merkel ไม่ให้ผู้นำทางการเมืองของประเทศเยอรมันใช้คำนิยามการสังหารราษฎร  ท้ายสุดเป็นความแน่วแน่ของ Gauck ที่กล่าวเมื่อเย็นวันที่ ๒๓ เมษายนที่ผ่านมา  ว่าไม่มีความจำเป็นต้องกลัวความจริง  ในหน้าอินเตอร์เน็ตของสถานทูตตุรกีที่เบอร์ลินมีคำชี้แจงเป็นภาษาเยอรมันของ Davutoglu ด้วยถ้อยคำทางการทูตห้ามการแทรกแซงความคิดและการปฏิบัติของชาวตุรกีต่อชาวอาร์เมเนียน  เขาเตือน “ฝ่ายที่ ๓” ให้วางตัวที่ไม่ทำให้ “บาดแผลจากประวัติศาสตร์” ลึกขึ้นอีก  เขายังป้องกันตัวต่อ “การตีขลุม” ซึ่งหมายถึงคำว่าการสังหารราษฎรและผลัก “ความรับผิดชอบให้กับราษฎรตุรกีเท่านั้น”
แต่ Gauck ไม่ได้ประสงค์ให้ชาวตุรกีที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้รับผิดชอบสำหรับการทารุณกรรมในสงครามโลกครั้งที่ ๑  แต่สำหรับการปฏิบัติต่ออดีต  ผู้ก่อการในครั้งนั้นไม่มีชีวิตอยู่แล้วและบุตรหลานของเขาไม่ต้องแบกรับความผิด  แต่สิ่งที่ทายาทของผู้เคราะห์ร้ายคาดหวังคือการยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นและความผิดพลาดในประวัติศาสตร์ด้วย

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

จบปริญญาตรีไม่พอ

การสำรวจในตลาดแรงงานเยอรมัน พบว่าความความต้องการ คนจบปริญญาตรีไม่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานมากขึ้น  มีตัวเลขเพียงเพียงครึ่งหนึ่ง (๔๗%) ของบริษัทที่ได้รับการสอบถามในปี ๒๐๑๔ จากสภาอุตสาหกรรมและการค้าเยอรมัน (DIHK) ให้คำตอบว่าผู้จบปริญญาตรีบรรลุความคาดหมาย  ในปี ๒๐๑๑ บริษัท ๖๓% ยังพึงพอใจ  ในปี ๒๐๐๗ ถึงกับ ๖๗%
ตรงกันข้ามกับผู้ที่จบปริญญาโท ส่วนใหญ่ของบริษัทพึงพอใจว่าจ้าง  Eric Schweitzer หัวหน้า DIHK เห็นว่าความไม่พึงพอใจผู้จบปริญญาตรีมาจากจำนวนนักศึกษาที่เพิ่มขึ้น  ซึ่งสร้างปัญหาให้กับการฝึกอาชีพ  ประเทศเยอรมันประสบปัญหาการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยมากเกินไป

ฝันสลาย

๒ ใน ๓ ของคนรุ่นใหม่ในประเทศเยอรมันมีเป้าหมายชีวิตว่าในอนาคตจะเป็นเจ้าของที่พักอาศัยหรือบ้านเป็นของตนเอง  ซึ่งเป็นผลการสอบถามล่าสุด  แต่สำหรับเยาวชนจำนวนมากมันจะคงเป็นเพียงฝันที่สลายอย่างรวดเร็ว  โดยสันนิษฐานได้จากการศึกษาอีกชิ้นหนึ่ง ในการร่วมกันศึกษาของสมาคมก่อสร้างที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งสมาคมผู้เช่าเยอรมันคำนวณว่าค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสำหรับบ้านที่มีผู้อยู่อาศัยหลายครอบครัว (Mehrfamilienhaus) ลำพังในรอบ ๑๔ ปีที่ผ่านมาในประเทศเยอรมันเพิ่มขึ้นถึง ๔๐%  งบค่าสร้างจาก ๑,๑๐๙ ยูโรต่อตารางเมตรในปี ๒๐๐๐ กลายเป็น ๓,๐๘๐ ยูโร ตัวเลขของปีนี้  เมื่อเปรียบเทียบกับพัฒนาการของราคาผู้บริโภคในช่วงเวลาเดียวกันเพิ่มขึ้นเพียง ๒๕%  โดยไม่พูดถึงรายได้  ทั้งนี้ สมาคมได้ชี้แจงเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายนที่ผ่านมาที่เบอร์ลินและได้มอบหมายการวิเคราะห์ให้กับ  Barbara Hendricks รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมที่ได้ก่อตั้งกรรมาธิการสำหรับการอยู่อาศัยที่สามารถจ่ายได้ในปีที่ผ่านมา
สมาคมได้วิพากษ์วิจารณ์ในเอกสารว่ารัฐเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย  ซึ่งทำให้ปัญหาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น  จากการศึกษาที่สอบถามบริษัทที่อยู่อาศัย ๓๗๐ แห่ง  พบว่าครึ่งหนึ่งการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายมาจากการเพิ่มขึ้นทั่วไปของค่าแรงงานในการก่อสร้าง  แต่อีกครึ่งหนึ่งของการเพิ่มขึ้น ๔๐% มาจาก “การกระทำของรัฐ”  ที่ควรเป็นรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้แก่ กฎหมายภาษีและการวางแผน รวมทั้งระเบียบกฎหมายการก่อสร้าง เช่น ความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวได้โดยไม่เสี่ยงอันตราย  การป้องกันไฟไหม้และเสียงสะท้อน การเรียกร้องเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานมากขึ้น  ระเบียบของคอมมูนและราคาที่ดินที่ปัจจุบ้นนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น แคว้นนอร์ดไรน์-เวสฟาเลน  ช่วงต้นปีนี้เพิ่มภาษีการซื้อที่ดินจาก ๕ เป็น ๖.๕%  สูงที่สุดทั่วประเทศ นอกเหนือจากชเลสวิก-โฮลสไตน์  ล้วนส่งผลนำไปสู่อุปสรรคธุรกิจด้านการก่อสร้าง  แต่ที่ชดเชยได้เล็กน้อยคือดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติการณ์  แต่ขณะเดียวกันเกิดช่องโหว่ใหญ่ขึ้นทุกที  ที่ทำให้การสร้างฝันที่อยู่อาศัยที่สามารถจ่ายเงินซื้อหาได้หดหายไป  และตามจริงตัวเลขที่เสนอขณะนี้น่าวิตก  ตามการประเมินคาดว่า ปัจจุบันยังขาดที่อยู่อาศัยที่ประชาชนสามารถลงทุนได้ ประมาณครึ่งล้านแห่งในประเทศเยอรมัน

ปฏิบัติการช่วยเหลือผูู้ลี้ภัย

สหภาพยุโรป (EU) ประสงค์จะระงับหายนภัยผู้ลี้ภัยครั้งต่อไปด้วยการเพิ่มลบประมาณมากขึ้น ๓ เท่าและเพิ่มจำนวนเรือมากขึ้นสำหรับการกู้ภัยผู้ประสบปัญหาในทะเลที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  ในการประชุมสุดยอดวาระพิเศษเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายนที่ผ่านมาที่บรัสเซลส์ ผู้นำประเทศและหัวหน้ารัฐบาลลงมติเพิ่มงบฯสำหรับปฏิบัติการปกป้องพรมแดน “Triton“ ของ EU เป็น ๓ เท่าตัว  ทำให้ในอนาคตจะใช้งบฯราว ๙ ล้านยูโรต่อเดือน
นายก ฯ Angela Merkel ของประเทศเยอรมันเสนอจะส่งเรือ ๒ ลำของกองทัพเรือเยอรมันสำหรับการกู้ภัยในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  นางกล่าวว่าหากจำเป็นก็จะส่งมากกว่านี้  องค์การสิทธิมนุษยชนแสดงความผิดหวัง  โดยบ่งชี้ว่าเพียงการขยายพื้นที่ปฏิบัติการ  จะสามารถนำบรรลุเป้าหมายสูงได้  แต่เรื่องนี้ที่ประชุมไม่ได้ลงมติ  Nils Muiznieks กรรมาธิการสิทธิมนุษยชนของสภาสูงของยุโรป หรือ Europarat เตือนว่าจนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีอันตรายว่าจะกลายเป็น “สุสานขนาดมหึมา”  การประชุมเริ่มต้นด้วยการรำลึกถึงผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่จมน้ำเสียชีวิตในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

เสียชีวิตบนท้องถนน

ประชาชนราว ๗๐ คนเสียชีวิตเฉลี่ยในแต่ละวันจากอุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป  คณะกรรมาธิการ EU เปิดเผยเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่าในปีที่ผ่านมาประชาชนราว ๒๕,๗๐๐ คนเสียชีวิตในระหว่างเดินทาง  แม้ว่าจะน้อยกว่าในปี ๒๐๑๓ ราว ๑%  แต่ทำให้มีความเสี่ยงว่า EU จะพลาดเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าระหว่างปี ๒๐๑๐-๒๐๒๐ จะลดการเสียชีวิตจากการจราจรลงครึ่งหนึ่ง ตัวเลขที่ประเทศเยอรมัน มีอัตราผู้เสียชีวิต ๔๒ คนต่อประชากร ๑ ล้านคน (๒๐๑๓ : ๔๑ คนต่อ ๑ ล้านคน) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ EU ซึ่งมีอัตราราว ๕๐ คน
Violeta Bulc กรรมาธิการคมนาคมของ EU กล่าวว่าปี ๒๐๑๔ เป็นปีที่เลวร้ายมาก  หากเป็นเรื่องการพัฒนาความปลอดภัยบนท้องถนนของยุโรป  ต้องมีการทำอะไรมากกว่านี้และต้องทำเป็นการเร่งด่วน  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดตัวเลขลงครึ่งหนึ่ง  แต่ละปีจำนวนผู้เสียชีวิตต้องลดลง ๘%  ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของประเทศสมาชิก  บรัสเซลส์ให้การสนับสนุนโดยการรณรงค์ให้ข้อมูล  มีการวางแผนกฎระเบียบใหม่สำหรับผู้ขับรถเป็นอาชีพด้วย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุดสัปดาห์และในฤดูร้อนตัวเลขไต่สูงขึ้น  ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเพศชาย  และส่วนมากประชาชนอายุน้อยสูญเสียชีวิตการขับขี่บนถนนสูงกว่าเฉลี่ยเช่นเดียวกัน  การเสียชีวิตน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของประชากรอยู่ที่มอลตา (ประชาชน ๒๖ คนต่อ ๑ ล้านคนต่อปี)  อย่างไรก็ดี เกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีพลเมืองน้อยมากเพียง ๔๒๕,๐๐๐ คน
ประเทศที่มีอัตราการตายสูงนำหน้า ได้แก่ ลัตเวีย  จำนวนประชาชนเสียชีวิตบนท้องถนนมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากร (๑๐๖ คนต่อ ๑ ล้านคนต่อปี)  ตำรวจลัตเวียเห็นว่ามาจากพฤติกรรมการขับที่ขาดความรับผิดชอบ เสพแอลกอฮอล์ และสภาพถนนที่แย่
Allianz pro Schiene มองว่าความปลอดภัยของการเดินทางทางรถยนต์ตรงข้ามกับเดินทางด้วยรถไฟ  Dirk Flege ผู้จัดการของ Allianz pro Schiene  เปิดเผยที่เบอร์ลินว่าไม่มีประเทศยุโรปใดที่การขับรถยนต์ปลอดภัยกว่าการเดินทางโดยรถไฟ  เมื่อพิจารณาจากความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตต่อกิโลเมตร  รถไฟทั่ว EU ปลอดภัยกว่าการเดินทางโดยรถยนต์ ๒๖ เท่า  และในประเทศเยอรมันปลอดภัยกว่า ๕๘ เท่า

โทษประหารชีวิต

ตัวเลขการพิพากษาประหารชีวิตทั่วโลกในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  ตามรายงานของAmnesty International ที่เปิดเผยเมื่อวันที่ ๑ เมษายนที่ผ่านมา ทั่วโลกมีการตัดสินประหารชีวิตอย่างน้อย ๒,๔๖๖ ราย  ในปีก่อนหน้ายังมีจำนวนอย่างน้อย ๑,๙๒๕ ราย (เพิ่มขึ้น +๒๘%)  Salil Shatty เลขาธิการทั่วไปของ Amnesty กล่าวถึง “การเพิ่มขึ้นอย่างหนัก”
อย่างไรก็ดี ตามข้อมูล จำนวนครั้งการประหารชีวิตที่มีการบันทึกลดลงอย่างชัดเจน  โดยทั่วโลกมีการประหารชีวิตอย่างน้อย ๖๐๗ กรณี (๒๐๑๓ : ๗๗๘ หรือ –๒๒%)  อย่างไรก็ตาม ตามสถิตินี้ยังขาดสถิติในประเทศจีน  ที่ข้อมูลการประหารชีวิตถือว่าเป็นความลับของทางการ  Amnesty ไม่ระบุแม้แต่ตัวเลขประเมินของประเทศจีน  ในรายงานระบุเพียงว่าประเทศจีนดำเนินการประหารชีวิตโดยมีจำนวนมากกว่าตัวเลขที่เหลือของโลกรวมกันอีกครั้งหนึ่ง
ตามการประเมินล่าสุดของมูลนิธิ Dui-Hua ของสหรัฐอเมริกาที่ซานฟรานซิสโกที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงานยุติธรรมของจีน  สันนิษฐานว่าในปี ๒๐๑๓ ในสาธารณรัฐประชาชนจีนมีประชาชนราว ๒,๔๐๐ คนถูกประหารชีวิต  สำหรับปี ๒๐๑๔ ยังไม่มีข้อมูลใหม่  John Kamm ประธาน  Dui-Hua ชี้แจงต่อสำนักงานดอยเชอาเกนทัวว่าตามความรู้สึกของเขา ตัวเลขน่าจะอยู่ในระดับ ๒,๔๐๐ ราย  ตามสถิติของ Amnesty มีการพิพากษาประหารชีวิตใน ๒๒ ประเทศ  มากเพียงครึ่งหนึ่งของเมื่อ ๒๐ ปีก่อน  อันดับ ๒ ของรายการบัญชี ได้แก่ ประเทศอิหร่านอีกครั้งหนึ่ง  โดยที่ประชาชน ๒๘๙ คนถูกตัดสินประหารชีวิต  ตามมาด้วยซาอุดิอาระเบีย (๙๐ คน)  อิรัก ๖๑ และสหรัฐอเมริกา ๓๕ ในยุโรปมีโทษประหารชีวิตเพียงที่ Weißrussland เป็นประเทศสุดท้าย (๓ ราย)  ยกเว้นสหรัฐอเมริกา ตัวเลขทั้งหมดเป็นจำนวนขั้นต่ำ   และที่อิหร่านและซาอุดิอาระเบียยังคงมีการประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชน

เบื่อก็ทำให้เครียด

ตามข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญ คนทำงานเกือบทุก ๑ ใน ๕ คนในประเทศเยอรมันมีงานต่ำกว่าความสามารถตามเป็นจริงในตำแหน่งงาน  Günther Vedder นักวิชาการด้านอาชีพกล่าวว่าสภาพที่ได้รับการขนามนามว่า “Bareout“ (เบื่อ) ในอนาคตจะเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญมากขึ้นทุกทีในโลกของผู้ประกอบอาชีพ  นักสังคมวิทยาได้ดำเนินการวิจัยในหัวข้อนี้ที่มหาวิทยาลัย Leibniz ที่ฮันโนเวอร์  ตามรายงานความเครียดของประเทศเยอรมันในปี ๒๐๑๒  ผู้รับงาน ๑๓% ระบุตัวเองว่าได้งานต่ำกว่าความสามารถ  อีก ๕% มีอะไรทำน้อยเกินไปมาก  ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นในทุกกลุ่มอาชีพ  สำหรับผู้ทำงานด้านการควบคุมหรือด้านรักษาความปลอดภัย ความเบื่อถึงกับเป็นเรื่องใหญ่ในการทำงาน  แต่ชัดเจนยิ่งขึ้นทุกทีว่า “ความเบื่อ” เป็นปัญหาของงานในสำนักงาน  Vedder กล่าวว่ากรณีส่วนใหญ่เกิดขึ้นในงานด้านการบริหารของส่วนราชการและตำแหน่งงานบริการ  และที่ปัญหาพบได้บ่อย คือ การแบ่งจัดสรรงานที่ไม่เท่าเทียม

เยอรมันเผชิญปัญหาปราบปรามยาเสพติดสังเคราะห์

การต่อสู้กับยาเสพติดในประเทศเยอรมันเผชิญกับการถดถอยอย่างหนัก  Marlene Mortler ผู้ได้รับการมอบหมายจากรัฐบาลให้ดูแลเรื่องปัญหายาเสพติดเปิดเผยเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายนที่ผ่านมา ว่าหลังจากหลายปีของความสำเร็จในการต่อสู้กับอาชญากรรมด้านยาเสพติด พบการเพิ่มขึ้นเกือบ ๑๐% ในปี ๒๐๑๔ และตกอยู่ในระดับเดียวกับปี ๒๐๐๕  โดยตำรวจสามารถจับได้ราว ๒๗๖,๐๐๐ กรณี  จำนวนผู้เสียขีวิตจากยาเสพติดก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น ๑,๐๓๒ ราย  ๘๕% ของผู้เสียชีวิตเป็นบุรุษ  อายุเฉลี่ยอยู่ที่ ๓๘ ปี  ในแคว้นนอร์ดไรน์-เวสฟาเลนประชาชน ๑๘๔ คนเสียชีวิตจากการเสพยา  Mortler กล่าวว่ากรณีเสียชีวิตแต่ละกรณีมากเกินไป  ในปีที่ผ่านมาสำนักงานอาชญากรรมแห่งชาติ (BKA) ยึดยาเสพติดได้ในปริมาณสูงเป็นประวัติการณ์  ในเดือนกันยายนเจ้าหน้าที่พบเฮโรอีน ๓๓๐ กิโลกรัม  หรือเท่ากับราคาซื้อขายปลีกบนท้องถนน ๕๐ ล้านออยโร  ที่เติบโตเป็นพิเศษ ได้แก่ ยาเสพติดชนิดสังเคราะห์  ในเดือนพฤศจิกายน  BKA ยึด Chlorephedrin ได้ในคราวเดียว ๒.๙ ตัน  ในปริมาณนี้สามารถผลิตยาที่เรียกว่า Crystal Meth ได้ ๒.๓ ตัน  ซึ่งเป็นยาเสพติดที่สามารถทำลายร่างกายมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว คิดเป็นมูลค่าราคาซื้อขายปลีกบนท้องถนนมูลค่า ๑๘๔ ล้านยูโร
Holger Münch หัวหน้า BKA ชี้แจงว่าปริมาณที่ยึดได้มากขนาดนี้ของสารทั้งสองชนิดเป็นเรื่องใหญ่มากในประเทศเยอรมัน   การรุกคืบหน้าของยาเสพติดสังเคราะห์สร้างความวิตกกังวลให้กับรัฐบาลและสำนักงานตรวจสอบมากที่สุด  Münch กล่าวว่าสารเสพติดนี้เป็นที่นิยมมากขึ้นทุกทีในกลุ่มผู้เสพยาเสพติด
นอกเหนือจาก Crystal Meth ผู้เสพยาหันมาหาสารตัวใหม่ๆ NPS บ่อยขึ้นทุกที  ตามรายงานยาเสพติด ปัจจุบันนี้ในประเทศเยอรมันมีผลิตภัณฑ์มากกว่า ๑,๕๐๐ ชนิด ซึ่งผลิตจากสารตั้งต้นต่าง ๆ กันราว ๑๖๐ ชนิด  ลำพังในปีที่ผ่านมาพบสารชนิดแปลกใหม่ ๕๘ ชนิดเป็นครั้งแรกในเยอรมัน  ผู้ออกกฎหมายได้แต่ตามไล่หลังไปอย่างลำบากมากในการสั่งห้ามสารแต่ละตัว  ดังนั้น Münch เรียกร้องให้มีการห้ามกลุ่มสารทั้งหมด  Mortler ประกาศกฎหมายใหม่สำหรับปีนี้   ซึ่งจะทำให้ในอนาคตสารดังกล่าวสามารถถูกจัดว่าผิดกฎหมายได้  เพื่อให้สามารถจับผู้กระทำผิดในการซื้อขายมาลงโทษได้  ก็ต่อเมื่อสารแต่ละตัวต้องได้รับการระบุในกฎหมายถึงการออกฤทธิ์ต่อร่างกายอย่างชัดเจนก่อนเท่านั้น

ลูกคนเดียว

ผู้เขียนเกิดมาในครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคน  นอกจากสมาชิกในครอบครัวแล้ว  ยังมีทั้งแม่ครัว คนทำงานบ้าน (สมัยนั้นยังหาไม่ยาก  ค่าแรงไม่แพง)  จึงเคยชินกับการอยู่ในบ้านที่มีคนมากหน้าหลายตา  เมื่อถึงวัยเข้าโรงเรียนพบว่าเพื่อน ๆ ไม่ได้มีพี่น้องมากมายนัก  เพียงคนเดียวหรือสองคน  มีเพื่อนร่วมห้องคนเดียวที่มีพี่น้องถึง ๑๐ คน!  ต่อมาไม่นานก็ถึงยุคที่มีการรณรงค์ให้ประชาชนวางแผนครอบครัวโดยการคุมกำเนิด  คำขวัญ “มีลูกมากจะยากจน” แพร่หลายทั่วไปพร้อมกับการแจกจ่ายถุงยางอนามัยฟรี  คนไทยเริ่มมีลูกน้อยลงเรื่อย ๆ  ถึงสมัยนี้การมีลูกคนเดียว (หรือไม่มีเลย) กลายเป็นเรื่องปกติ  ส่วนตัวผู้เขียนเองตั้งใจมีลูกสองคนมาแต่ไหนแต่ไร  ด้วยความเชื่อแบบเดิม ๆ ว่าอยากให้ลูกมีเพื่อนและไม่อยากให้เสียนิสัย
ตามรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในประเทศเยอรมันเด็กและวัยรุ่นราว ๓.๔ ล้านคนเจริญเติบโตโดยไม่มีพี่น้องหรือผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะราวทุก ๑ ใน ๔ คน  สัดส่วนนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกันมาหลายปีแล้ว  แต่ลูกคนเดียวพัฒนาตนเองอย่างไรในสังคมที่แก่ตัวขึ้นทุกที ?  จะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและเคยตัวโดยอัตโนมัติหรือเปล่า ?  Paula Honkanen-Schoberth ประธานสมาคมคุ้มครองเด็กแห่งประเทศเยอรมันกล่าวว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของพ่อแม่โดยตรง
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าโดยเฉพาะในเมืองใหญ่และในภาคตะวันออกของประเทศเยอรมันมีลูกคนเดียวจำนวนมากใช้ชีวิตอยู่เมื่อเปรียบเทียบกัน  Juergen Dorbritz จากสถาบันเพื่อการวิจัยประชากรแห่งชาติที่วิสบาเดนชี้แจงว่าในภาคตะวันออกความปรารถนาที่จะมีบุตรสูงกว่า  แต่สตรีจำนวนมากเห็นว่าลูกคนเดียวพอแล้ว  ตรงกันข้าม ในภาคตะวันตกผู้หญิงมีการศึกษามักจะละเว้นการมีทายาท  เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่มีพี่น้อง บ่อย ๆ ลูกคนเดียวใช้ชีวิตกับผู้ที่เลี้ยงบุตรตามลำพัง ได้แก่  ผู้ที่ไม่สมรสหรือผู้ปกครองที่แยกทางกัน  ตามข้อมูลของสถาบันเยาวชนเยอรมัน (DJI) ที่ München ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของเด็กชาย-หญิง
Werner Gross นักจิตวิทยาจาก Offenbach กล่าวว่าผู้ปกครองที่เลี้ยงบุตรตามลำพังต้องระวังว่าลูกคนเดียวไม่ได้กลายเป็นตัวชดเชยคู่ที่ขาดหายไป  Honkanen-Schoberth เสริมว่าหากตัวผู้ปกครองที่เลี้ยงบุตรตามลำพังไม่มีบุคคลใกล้ชิดก็สามารถเป็นได้ว่าลูกอยากจะช่วยเหลือ ซึ่งเกินกำลังของเด็ก
Sabine Walper หัวหน้าการวิจัยของ DJI พบว่าลูกคนเดียวจะยึดผู้ปกครองเป็นศูนย์กลางนานกว่า  กลุ่มพี่น้องส่วนใหญ่จะมีข้อได้เปรียบและความอดทนสูงกว่ามาก  โดยทั่วไปความสัมพันธ์กับพี่น้องจะเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานที่สุดตลอดชีวิตของบุคคลหนึ่ง ๆ  ในด้านหนึ่งลูกคนเดียวจะได้รับการเลี้ยงดูเหมือนเจ้าชายเจ้าหญิง  แต่ในอีกด้านหนึ่งจะมุ่งความสนใจอยู่ที่ผู้ใหญ่  ซึ่งไม่ดีสำหรับการพัฒนาด้านจิตใจ  Honkanen-Schoberth เตือนว่าผู้ปกครองควรระมัดระวังว่าลูกของตนไม่ได้ถูกตามใจเกินขนาด ถูกปกป้องคุ้มครองมากเกินไปและเติมเต็มความปรารถนาทุกอย่างตลอดเวลา  ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอาก็ไม่ควรทำเกินไปด้วย
อย่างไรก็ดี การวิจัยก็แสดงด้วยว่าอคติเรื่องลูกคนเดียวเห็นแก่ตัวเป็นส่วนใหญ่ไม่เป็นความจริง  Honkanen-Schoberth กล่าวว่าตรงกันข้าม ลูกคนเดียวสามารถเสียสละหรือแบ่งปันได้ดีกว่า  เนื่องจากไม่เคยขาดแคลน  ลูกคนเดียวจะดูแลความสัมพันธ์กับมิตรสหาย  เนื่องจากมีความสำคัญเป็นพิเศษกับชีวิตและลูกคนเดียวจะเป็นที่รักในกลุ่ม  เธอยังกล่าวว่าลูกคนเดียวจำนวนมากได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนดีเป็นพิเศษในเรื่องการบ้านและงานอดิเรก  ทำให้ลูกคนเดียวจำนวนมากค่อนข้างฉลาดแกมโกงและไม่ปิดบังเสียด้วย  บ่อย ๆ มีคลังศัพท์แสงกว้างและความสามารถดี  บางครั้งจะเสี่ยงที่จะกลายเป็นพวกทะเยอทะยานที่โรงเรียน  เธอชี้แจงว่าลูกคนเดียวไม่เคยเรียนรู้ที่จะต่อสู้  ทำให้บางครั้งสามารถฟันฝ่าได้แย่กว่าเด็กที่มีพี่น้อง  เธอแนะนำผู้ปกครองที่มีลูกคนเดียวให้กระตุ้นการวางตัวของลูกกับมิตรสหาย ญาติ กลุ่มกีฬาและสังคมสม่ำเสมอตั้งแต่แรกเริ่ม  ซึ่งจะทำให้เด็กเรียนรู้ได้เร็วเรื่องความขัดแย้งและที่ทางของตนเอง  เด็ก ๆ จะเรียนรู้จากกันและกันตั้งแต่ในวัยคลาน
ลูกคนเดียวบ่อย ๆ จะมีลูกเพียงคนเดียวหรือไม่ยังไม่ได้รับการชี้แจงทางวิชาการ  เนื่องจากนานครั้งที่ผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายเป็นลูกคนเดียว  Walper กล่าวว่าข้อมูลของรุ่นวัยและการตรวจสอบเกี่ยวกับเด็กและผู้ปกครองแสดงในการวิเคราะห์สำหรับประเทศออสเตรเลีย ฝรั่งเศส นอรเวย์และรัสเซียว่าลูกคนเดียวมีบุตรเพียงคนเดียวมากกว่าปกติจริง ๆ หรือถึงกับไม่มีบุตร  ที่แน่นอนคือผู้ใหญ่ที่เติบโตมาพร้อมพี่น้องโดยทั่วไปปรารถนาจะมีลูกหลาย ๆ คนด้วย
แม่นแล้ว  ยืนยันได้จากผู้เขียนที่ไม่เค้ย…ไม่เคยอยากเป็นลูกคนเดียว  เป็นน้องคนเล็กที่มีพี่ ๆ คอยดูแลเอาใจใส่นี่แหละสบายซู้ด จะบอกให้…
ข้อมูล  Aachener Zeitung

เรียบเรียงโดย “เอื้อยอ้าย”

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558

กินอาหารวันละมื้อกลับมีอายุยืน

หนังสือ  Being Hungry Makes You Healthy   เขียนโดย นายแพทย์โยะชิโนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo) หนังสือแปล “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” โดย พิมพ์รัก สุขสวัสดิ์   จัดพิมพ์โดยสนพ. วีเลิร์น  ในบทนำมีการเกริ่นว่า ผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อ เมื่ออายุ 45 ปี เพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ  ผ่านไปสิบปี เมื่อเขาไปตรวจร่างกาย พบว่า อายุหลอดเลือดของเขา เท่ากับคนอายุ 26 ปี
Jap-one-meal
เขาเล่าว่า มนุษย์ในอดีต ไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์ โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้   ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้นร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง
เมื่อเราหิว ไม่มีกิน เราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน(Sirtuin) ออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย  ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด
ปัญหาก็คือเมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ  และที่สำคัญ ร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี
ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง  ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่า เขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ
เพราะว่า เขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซม และปรับตัวให้เยาว์วัย ด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น
ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์ เขาอธิบายดังนี้
Jap-one-meal-2
(1) ปากทางเข้าลำไส้เล็ก จะมีเซ็นเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่
ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา   ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก
เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ
(2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่า หิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา
เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว  โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร
ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา  เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็นหนุ่มสาว”
นั่นหมายความว่า ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้น จากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว
ถึงท้องจะร้อง ก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาว  ที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน
(3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา
นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน  จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า   ยีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ มีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว”ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน
ดังนั้น การกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิว จึงหมายถึง การมีของดีอยู่กับตัว แต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์
Jap-one-meal-1
มาทำให้ท้องร้องจ๊อก ด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็ว   พร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่า ความแก่ชราและโรคมะเร็ง ก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน
ดังนั้น เราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว และป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้อง  มาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ
นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่า  การนอนที่ดีคือ นอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุด นั่นก็คือ ช่วงเวลาระหว่าง สี่ทุ่มถึงตีสอง
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ได้ข้อสรุปสิ่งที่จะทำคือ
(1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง และ
(2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ…….”
นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่า เมื่อตอนคุณหมอนะงุโมมีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม   ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปีอายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี
จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ  คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่า แค่เริ่มต้นไม่กี่วัน ก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว
กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า
คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อ คือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้   หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ
หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่อังคาร 20 ม.ค. 2558

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

ศิลปินในวงการเพลงภาษาเยอรมัน (126) Nena

เอกอัครราชทูต  วิญญู แจ่มขำ
            ศิลปิน ฯ คนนี้เพิ่งฉลองอายุครบ ๕๕ ปีไปเมื่อปลายเดือนที่แล้ว เธอเป็นทั้งนักดนตรี นักแต่งเพลง และนักร้องคลื่นลูกใหม่แนวเพลงพ็อพและพั้งค์ร็อคชาวเยอรมัน เพลงดังของเธอที่รู้จักกันระดับนานาชาติตั้งแต่ปี ๑๙๘๓ (พ.ศ. ๒๕๒๖) คือเพลง 99 Luftballons และยังเป็นศิลปินในประวัติสาสตร์วงการเพลงเยอรมันที่แผ่นเพลงของเธอขายได้ถึง ๒๕ ล้านแผ่น
Nena มีชื่อจริงว่า Grabriele Susanne Kerner เกิดที่เมือง Hagen รัฐน้อร์ดไรน์-เว้สท์ฟาเล่น เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๖๐ (พ.ศ. ๒๕๐๓) แล้วพ่อแม่ได้พากันย้ายไปอยู่เมือง Breckerfeld
พออายุได้ ๓ ขวบ พ่อแม่ได้พาไปเที่ยวสเปน และมักได้รับการเรียกว่าอีหนูด้วยภาษาสเปนที่นั่นว่า Nina (นีญ่า) พ่อแม่เลยนำมาตั้งเป็นชื่อเล่นว่า Nena เธอยังมีน้องหญิง ๑ คน และน้องชาย ๑ คน อายุ ๕ ขวบ พ่อแม่จึงพากันย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองฮาเก้น และได้เข้าเรียนที่ Christian-Rohlfs-Gymnasium จนถึงชั้นที่ ๑๑ ในปี ๑๙๗๗ (พ.ศ. ๒๕๒๐) จึงได้ลาออกจากโรงเรียนไปเพื่อเรียนและฝีกฝนเป็นช่างทองตามความประสงค์ของพ่อแม่เป็นเวลา ๓ ปี
ในเดือนพฤศจิกายนปีนั้น เธอได้พบนาย Rainer Kitzmann นักกีต้าร์ในสถานดิสโกเธคแห่งหนึ่งในเมืองฮาเก้น ซึ่งได้เสนอให้เธอเป็นนักร้องนำในวงดนตรี The Stripes ของเขา เธอตอบรับและได้ออกร้องเพลงสดเป็นครั้งแรกในต้นปีต่อมา Strangers เป็นแผ่นเพลงแรกที่ออกในปลายปี ๑๙๗๙ (พ.ศ. ๒๕๒๒) ปีถัดมาก็ออกแผ่นลองเพลย์ของวง ฯ แม้ได้ออกแผ่นเพลงอีก ๓ เพลง ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับแผ่นลองเพลย์ อย่างไรก็ตาม ทางวง ฯ ได้ออกเพลง Ecstacy ในแผ่นเพลงชุด Plattenküche ในปี ๑๙๘๐ (พ.ศ. ๒๕๒๓) และเพลง Tell me your name สำหรับรายการ Disco ทางโทรทัศน์ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๘๑ (พ.ศ. ๒๕๒๔) แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นจึงได้ตกลงเลิกวง ฯ กันในปีนี้ สำหรับเธอได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่นครเบอร์ลินตะวันตกกับนาย Rolf Brendel แฟนในช่วงเวลานั้น และได้พบสมาชิกวงดนตรีในอนาคตคือนาย Carlo Karges นักกีต้าร์ ซึ่งเธอได้รู้จักแล้วที่เมืองฮาเก้น นาย Uwe Fahrenkrog-Petersen ผู้เล่นคีย์บอร์ด และนาย Jürgen Dehmel ผู้เล่นเบส ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย Fahrenkrog-Petersen จึงได้ตกลงร่วมกันตั้งวงดนตรีชื่อ Nena ขึ้น
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๘๒ (พ.ศ. ๒๕๒๕) วง ฯ ได้ออกแผ่นเพลงแรกชื่อ Nur geträumt และกลายเป็นเพลงยอดนิยมในเยอรมนีต่อมา หลังจากที่วง ฯ ได้ออกรายการ Musikladen ทางโทรทัศน์ในวันที่ ๑๗ สิงหาคม วันรุ่งขึ้นมีรายงานว่ายอดขายแผ่นเพลงนี้สูงถึง ๔๐,๐๐๐ แผ่น และติดอันดับที่ ๒ ในตารางเพลงเยอรมันยอดนิยมเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน
ต่อมา วง ฯ ได้ออกเพลงชุด Nena ในเดือนมกราคม ค.ศ.๑๙๘๓ (พ.ศ. ๒๕๒๖) ซึ่งมีเพลงLeuchtturm และเพลง 99 Luftballons อยู่ด้วย แต่เพลง 99 Luftballons กลายเป็นเพลงยอดนิยมอันดับ ๑ ของเยอรมนี และเมื่อนาง Christiane F. ผู้แต่งเพลงนี้เดินทางไปสหรัฐอเมริกา  และนำแผ่นตัวอย่างเพลงดังกล่าวกับเพลงเยอรมันอื่น ๆ ไปด้วย โดยมอบให้นาย Rodney Bingenheimer ดีเจของ K-ROQ ในนครลอส แอนเจลิส นำไปเปิดเผยแพร่ทางวิทยุกระจายเสียงตั้งแต่ฝั่งตะวันตกจนถึงภาคเหนือ ปรากฏว่าได้รับความนิยมเป็นอันดับ ๒ ในสหรัฐอเมริกา รองจากเพลง Jump ของ Van Halen แผ่นเพลงขายดีและดังไปทั่วโลก และในปีนี้ เธอได้เล่นหนังสนุกหรรษาชื่อ Gib Gas – Ich will Spaß กับนาย Markus Mörl และนาย Karl Dall ซึ่งนาย Wolfgang Büld เป็นผู้กำกับการแสดง
ปีต่อมา ได้ทำเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษชื่อ 99 Red Balloons ทำให้เพลงติดอันดับยอดนิยมอันดับ ๑ ในสหราชอาณาจักร ส่วนในสหรัฐอเมริกา รายการ American Top 40 ของนาย Casey Kasem ทางวิทยุกระจายเสียง ได้นำเนื้อร้องทั้ง ๒ ภาษามาเผยแพร่ จนได้รับความนิยมไปทั่วโลกและถือว่าเป็นเพลงร็อคเยอรมันเพลงหนึ่งที่รู้จักกันดี เพลง 99 Luftballons จึงเป็นเพลงดังของ Nena ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ นอกจากนั้น วง ฯ ยังได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จดีในประเทศต่าง ๆ ในยุโรปหลายประเทศ ทั้งนี้ได้นำเพลง Nur geträumt มาออกเป็นภาคภาษาอังกฤษชื่อ Just a Dream แล้วต่อมาได้ปรับปรุงเป็นเพลงสำหรับเต้นของผู้ฟังรุ่นใหม่ จนถือเป็นเพลงประจำราตรีสโมสรก็ว่าได้ แต่น่าเสียดายที่วง Nena ได้เลิกวง ฯ ไปในกลางปี ๑๙๘๗ (พ.ศ. ๒๕๓๐) Nena จึงต้องเป็นศิลปินเดี่ยวตั้งแต่นั้นมา
แต่ว่าปีนั้นเธอได้รู้จักนาย Benedict Freitag ในระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่อง Der Unsichtbare กำกับการแสดงโดยนาย Ulf Miehe ซึ่งต่อมาได้อยู่ด้วยกันจนมีลูก ๓ คน หลังจากนั้นได้อยู่กินกับนาย Philipp Palm ผู้ผลิตเพลงและมือกลองจากเมือง Esslingen am Neckar ซึ่งมีอายุอ่อนกว่า ๑๒ ปี และมีลูกด้วยกันอีก ๒ คน ปัจจุบัน ครอบครัวของเธอพำนักอยู่ในนคร Hamburg-Rahlstedt และเป็นทั้งยายและย่าของหลาน ๓ คน
ในฤดูใบไม้ร่วงปี ๑๙๘๙ (พ.ศ. ๒๕๓๒) เธอได้ออกชุดเพลงแรกหลังจากเลิกวง ฯ คือเพลง Wunder gescheh’n และเพลง Du bist überall ซึ่งได้แต่งขึ้นในช่วงที่ได้ลูกคนแรกแล้วและกำลังตั้งท้องลูกแฝด ประจวบกับเป็นช่วงวันก่อนที่กำแพงเบอร์ลินจะพังทลาย และต่อมาเธอได้เสนอเพลงในช่วงท้ายของ Konzert für Berlin ซึ่งจัดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ๓ วัน หลังจากนั้นได้ออกเพลงพ็อพอีกหลายชุด รวมทั้งเพลงสำหรับเด็ก ๆ ด้วย นอกจากนั้นยังเป็นผู้ดำเนินรายการBoulevardmagazin Metro ทางสถานีโทรทัศน์ ARD อยู่หลายเดือน และรายการ Countdown Grand Prix ซึ่งได้รับความสำร็จและมีผู้สนใจดูหลายล้านคน
ต่อมาในปี ๑๙๙๓ (พ.ศ. ๒๕๓๖) เธอได้ออกเพลงชุดที่ ๒ ชื่อ Bongo Girl แล้ว ทางบริษัทโซนี่ได้พิจารณาไม่ต่อสัญญาบันทึกแผ่นเพลงให้เธออีก เพลงชุดที่ ๓ จึงไม่มีฉลากของ RGM Music Entertainment อีก
ในปี ๒๐๐๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕) เธอได้ฉลองการร้องเพลงครบรอบ ๒๐ ปี ด้วยการออกเพลงชุดชื่อ Nena feat โดยนำเพลงที่เคยร้องมาเรียบเรียงใหม่ และปีต่อมา ได้ออกเพลง Anyplace, Anywhere, Anytime ร้องคู่กับ Kim Wilde โดยนำมาจากเพลงเก่าที่เธอได้ร้องไว้คือ Irgendwie, Irgendwo, Irgendwann ซึ่งเคยติดอันดับ ๓ ในตารางเพลงยอดนิยมในเยอรมนีนานหลายสัปดาห์ และยังติดอันดับ ๑ ในเนเธอร์แลนด์และออสเตรียด้วย
แผ่นเพลงชื่อ Liebe ist และแผ่น Doppel-CD ชื่อ Willst du mit mir gehn ซึ่งได้ออกในเดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม ปี ๒๐๐๕ (พ.ศ. ๒๕๔๘) ตามลำดับ ได้ติดอันดับ ๑ และ ๒ ในตารางอันดับเพลงเยอรมันยอดนิยม พอเดือนตุลาคม เธอและ Claudia Thesenfitz นักหนังสือพิมพ์ซึ่งจัดหาข้อมูลจากการสัมภาษณ์ญาติมิตรและบุคคลต่าง ๆ ได้ร่วมกันออกหนังสือชีวประวัติของเธอชื่อ Willst du mit mir gehn เข้าในงานนิทรรศการหนังสือที่นครแฟรงก์เฟิร์ต ปรากฏว่าหนังสือเล่มนี้ติดอันดับ ๓ ในรายการหนังสือเยอรมันที่ขายดี ดังนั้น ในเดือนพฤศจิกายน เธอจึงเริ่มออกเดินทางแสดงสัญจรรายการ Willst du mit mir gehn จากเยอรมนี ต่อไปยังออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์
หลังจากนั้นเธอได้ออกเพลงชุดใหม่มาเรื่อย ๆ รวมทั้งเล่นหนังบ้าง โดยการบันทึกแผ่นเพลงมีตราเป็นของตนเองคือ The Laugh & Peas Company ซึ่งช่วยสนับสนุนกิจการของลูกสาว เพลง Wir sind wahr, Made in Germany และ In meinem Leben ก็ติดอันดับยอดนิยม
ระยะหลังเธอสนใจคำสอนของท่านภควัน ศรี ราชเนศ จากอินเดีย และฝึกนั่งสมาธิอยู่นาน และตั้งแต่ปี ๒๐๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๓) Sakias และ Larissa ลูกแฝดชายหญิง ได้ร่วมเป็นนักร้องผู้ช่วยบนเวทีและเวลาบันทึกแผ่นเพลง ส่วน Simeon ลูกชายคนเล็ก มาเล่นคีย์บอร์ดให้ระหว่างรายการร้องเพลงของเธอในปี ๒๐๑๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘)
ตั้งแต่ปี ๒๐๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๔) เธอได้เข้าร่วมในคณะของกรรมการตัดสินและผู้ฝึกผู้เข้าแข่งขันร้องเพลงเยอรมันในรายการ The Voice of Germany ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ProSieben และ Sat.1 ซึ่งในเดือนมีนาคม ค.ศ. ๒๐๑๔ (พ.ศ. ๒๕๕๗) เธอได้ขึ้นเป็นกรรมการและผู้ฝึกสอนเต็มตัว และในช่วงนั้น เธอได้ยกเลิกการเดินทางไปแสดงหลายรายการ เธอบอกว่าเธอไม่ได้ป่วยหนัก แต่ว่าไม่สามารถยืนอยู่บนเวทีทุกเย็นได้
เธอได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมายตั้งแค่ปี ๑๙๘๒ (พ.ศ. ๒๕๒๕) เป็นต้นมา และปีนี้ก็ได้รับรางวัลเกียรติยศทางวัฒนธรรมจากสำนักพิมพ์ B.Z. คือ B.Z. Kulturpreis

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558

กงสุลเปิดทำพาสปอร์ตเล่มด่วน วันเดียวเสร็จ

กรมการกงสุล ประกาศอัตราค่าธรรมเนียมทำหนังสือเดินทางแบบใหม่ 2 ประเภท ได้แก่ หนังสือเดินทางเล่มด่วน ได้รับเล่มในวันทำการถัดไป และหนังสือเดินทางเล่มด่วนได้รับเล่มภายในวันทำการเดียวกัน โดยมีอัตราค่าบริการ 2,000 บาท และ 3,000 บาทตามลำดับ และเริ่มให้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2558 เป็นต้นไป
20150412_133052
สำหรับผู้ที่ต้องการทำหนังสือเดินทางแบบเล่มด่วนได้รับเล่มในวันถัดไป ต้องเสียค่าธรรมเนียม 2,000 หากยื่นเอกสารและชำระเงินภายใน 12.00 น. จะสามารถรับเล่มได้ตั้งแต่ 9.00 น. ของวันทำการถัดไป สำหรับผู้ที่ยื่นเอกสารเสร็จสิ้นหลัง 12.00 น. จะรับเล่มได้ตั้งแต่ 12.00 – 16.30 น. ของวันถัดไป
ทั้งนี้ หนังสือเดินทางเล่มด่วนแบบได้รับเล่มในวันถัดไป สามารถทำได้ที่ กรมการกงสุล สํานักงานหนังสือเดินทางฯ บางนา-ศรีนครินทร์ สํานักงานหนังสือเดินทางฯ ปิ่นเกล้า สํานักงานหนังสือเดินทางฯ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ และสํานักงานหนังสือเดินทางฯ ต่างจังหวัด 14 แห่ง
ในกรณีที่ทำหนังสือเดินทางเล่มด่วนแบบได้รับเล่มภายในวันเดียวกัน จะมีค่าธรรมเนียม 3,000 บาท ต้องยื่นเอกสารและชำระเงินให้เสร็จสิ้นภายใน 12.00 น. และสามารถรับเล่มได้ตั้งแต่เวลา 15.30 – 16.30 น. โดยจะมีให้บริการเฉพาะที่กรมการกงสุลเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม กรมการกงสุลระบุว่าการให้บริการเล่มด่วนทั้ง 2 ประเภท จะมีไม่เกิน 400 เล่มต่อวัน และไม่มีบริการดังกล่าวสำหรับศูนย์บริการฯ กระทรวงแรงงาน และหน่วยหนังสือเดินทางเคลื่อนที่
สำหรับหนังสือเดินทางแบบปกติยังคิดค่าธรรมเนียม 1,000 บาทเท่าเดิม สามารถรับได้ด้วยตัวเองภายใน 2 วันทำการ หรือเลือกรับเล่มทางไปรษณีย์แบบ EMS ภายใน 5 – 7 วันทำการ โดยจะมีค่าธรรมเนียมสำหรับส่งทางไปรษณีย์เพิ่มอีก 40 บาท