ลดอาการปวดหัว โดยไม่ต้องกินยา
มนุษย์ทุกคนต้องรู้จักอาการปวดศีรษะหรือพูดง่าย ๆ ศัพท์ชาวบ้านคือปวดหัว เมื่อเป็นขึ้นมาแล้วก็อยากจะให้หายโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่มันจำเป็นต้องกินยาแก้ปวดเสมอไปหรือเปล่า อันนี้ผู้เขียนไปอ่านเจอเข้าว่าอาการปวดหัวสามารถลดลงได้ด้วยวิธีธรรมชาติ ความที่เป็นคนกินยายากเย็นมาแต่ไหนแต่ไร พออ่านเจอแล้วก็อดไม่ได้ ต้องเอามาบอกต่อ ทำอย่างไรเดี๋ยวมาอ่านกันเลย
- ดื่มน้ำแร่ที่มีแมกนีเซียมสูงหรือชาสมุนไพรสองแก้วใหญ่ มันจะทำให้เลือดของเราได้รับออกซิเจนเข้าไป ซึ่งจะมีผลต่ออาการปวดหัวให้คลายลงได้
- นวดขมับด้วยน้ำมันเปปเปอร์มินซ์ ไอระเหยจะช่วยลดอาการปวดหัวลงได้
- แมกนีเซียม (เช่น ยาเม็ดฟู่ละลายน้ำ) ไม่เพียงสามารถทำให้อาการปวดหัวหายไปได้ แต่ยังป้องกันไว้ก่อนได้ด้วย
-การอาบน้ำโดยสลับระหว่างน้ำเย็นและน้ำร้อนช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิต และช่วยลดการปวดหัว
-คาเฟอีนในรูปแบบของกาแฟหรือเอ็กเพรสโซหยุดยั้งการสร้างเอนไซม์ที่รับผิดชอบต่อการปล่อยสารที่เรียกว่า “Prostaglandine” ซี่งสารตัวนี้ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด หากการปล่อยสารได้รับการระงับยับยั้ง อาการเจ็บปวดก็จะถูกสกัดกั้นไปด้วย
-ในอาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียด กระบวนการคลายเครียดอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น โยคะ หรือการคลายกล้ามเนื้อขั้นแอดวานซ์สามารถช่วยได้
-ที่ช่วยลดอาการปวดหัวได้เช่นกันก็คือการนวด โดยการกดเบา ๆ ด้วยนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือที่จุดกดบางจุด ได้แก่ ที่สันจมูก หัวคิ้ว หูและข้อมือ
ไหมล่ะ แค่นี้เอง ง่าย ๆ ไม่ยากเนอะ ไหน ๆ พูดถึงเรื่องปวดหัวกันมาแล้ว ขออนุญาตต่อด้วยเรื่องการกินยาแก้ปวดพาราเซตามอลมากเกินไปเสียด้วยเลย เรื่องนี้ก็เพิ่งอ่านเจอในเพจ “มูลนิธิหมอชาวบ้าน” เป็นเรื่องมีประโยชน์มาก ๆ เพราะยาตัวนี้เอะอะอะไรชาวบ้านก็จับกรอกเข้าปากอยู่เรื่อย ไม่ว่าจะแก้ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ปวดฟัน ปวดหลัง ปวดเอว ฯลฯ หารู้ไม่ว่าอะไรที่มากเกินแทนที่จะเป็นประโยชน์ กลับเกิดโทษได้นานา เนื่องจากยาตัวนี้หากมีการใช้เกินขนาดก็อาจจะเกิดอันตรายและเป็นพิษภัยต่อสุขภาพของผู้ใช้ยาตัวนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ทั้งชายและหญิง
ทั้งนี้ ยาพาราเซตามอลหากกินเกินขนาดจะมีพิษต่อตับ ตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่ที่มีอาการปวดหัวเป็นประจำใช้ยาพารา ฯ ขนาด ๕๐๐ มิลลิกรัม ครั้งละ ๒ เม็ด รวมเป็น ๑,๐๐๐ มิลลิกรัมหรือ ๑ กรัม ติดต่อกันทุก ๔ ชั่วโมง เป็นเวลา ๑ วัน เท่ากับว่าได้รับยาชนิดนี้รวมทั้งสิ้น ๖ กรัมต่อวัน ในขณะที่ปริมาณสูงสุดที่แนะนำ คือ ๔ กรัมต่อวัน ซึ่งเมื่อกินขนาดสูงยาพารา ฯ จะส่งผลให้ตับของผู้ใช้ยาทำงานหนักยิ่งขึ้น เพื่อขจัดตัวยาออกจากร่างกาย และทำให้เกิดสารพิษสะสม หากมีจำนวนมาก ๆ ก็จะส่งผลทำลายตับ ทำให้ตับวาย และถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมก็อาจจะถึงแก่ชีวิตได้
อันตรายต่อตับจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับยาพารา ฯ ขนาดสูง ทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง โดยแบบเฉียบพลันจะเกิดขึ้นทันที หลังจากที่ได้รับยาชนิดนี้เกินขนาดสูง ๆ เช่น ในผู้ใหญ่ที่ใช้ครั้งละ ๖-๗ กรัม หรือเด็กที่ได้รับยามากกว่า ๒๐๐ มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก ๑ กิโลกรัมต่อวัน เป็นต้น ขณะที่การเกิดพิษแบบเรื้อรังจะเกิดจากการใช้ยาในปริมาณสูงและติดต่อกันนาน ๆ หลายวัน หลายสัปดาห์หรือเป็นปี จึงจะเป็นพิษต่อตับได้
เอ้า ทีนี้ก็รู้กันแล้วนะว่ายาไม่ใช่ขนม ถึงหากมันจะมี “คุณอนันต์” แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถมี “โทษมหันต์” ได้เช่นกัน ก่อนหยิบยาใส่ปากก็คิดกันให้ดีเสียก่อนนะจ๊ะ ขอบอก
ข้อมูล Zeitung am Sonntag และ “มูลนิธิหมอชาวบ้าน”
เรียบเรียงโดย "เอื้อยอ้าย"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น