ทุกวันนี้คนเราดูจะให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพอนามัยกันมาก ไม่ว่าสื่อประเภทใด โทรทัศน์ วิทยุหรือสิ่งตีพิมพ์ประเภทต่าง ๆ จะมีรายการและคอลัมน์ที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เสมอ แม้แต่คนที่ไม่สนใจที่สุดก็คงไม่วายต้องเคยได้ยินได้ฟังผ่านหูผ่านตามาบ้าง บางเรื่องผู้เชี่ยวชาญก็มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน บางเรื่องก็ยังทำการศึกษากันอยู่ แต่ที่เห็นพ้องต้องกันมานานแล้วคือสี่ตัวร้ายที่ถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างแน่แท้ ฮั่นแน่ มีใครทายได้ไหมว่าคืออะไร
ตัวร้ายหมายเลข ๑ คือ ไขมัน
คนที่กินไขมันสูงมีความเสี่ยงว่าจะทำลายตับ เนื่องจากไขมันสามารถสะสมตัวในตับ มูลนิธิตับเยอรมันชี้แจงว่าจะนำไปสู่ Fettleber ซึ่งสามารถติดเชื้อได้ เนื่องจากประชาชนจำนวนมากไม่รู้ว่าตัวเองมี Fettleber มูลนิธิตับจึงแนะนำการตรวจค่าตับเป็นประจำกับแพทย์ประจำบ้าน โรคตับจำนวนมากหากไม่รักษาสามารถนำไปสู่โรคตับแข็งและมะเร็งของเซลล์ตับได้ แต่ตับที่เต็มไปด้วยไขมันก็เรื่องหนึ่ง การกินตัวร้ายหมายเลขหนึ่งมากเกินไปทำให้น้ำหนักเกิน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคภัยจำนวนมาก รวมถึงโรคหัวใจ การหมุนเวียนของโลหิต นิตยสาร “Neue Apotheken Illustrierte“ บ่งชี้ว่าสัดส่วนไขมันส่วนใหญ่ในแต่ละวัน ๓๑% มาจากเนย มาร์การีนและน้ำมัน สินค้าเนื้อสัตว์ตามมาในอันดับ ๒ ด้วยจำนวน ๓๐% ผลิตภัณฑ์นมอันดับ ๓ ด้วยจำนวน ๑๔%
แต่การประกาศว่าไขมันเป็นสิ่งไม่ดีไม่ถูกต้อง สมาคมเพื่อการบริโภคเยอรมัน (DGE) ชี้แจงว่ากรดไขมันเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย นอกจากนั้น อาหารที่มีไขมันประกอบด้วยวิตามินที่จะละลายไขมัน จึงเป็นเรื่องดีที่จะกินกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น จากไขมันพืชและปลา นอกจากนั้น การบริโภคไขมันพืชแทนไขมันสัตว์ เช่น ในไส้กรอกและเนย ส่งผลทางบวกต่อค่าโคเรสโตรอล ซึ่งควรจะต่ำเพื่อลดความเสี่ยงสำหรับเส้นเลือดแตก ตามข้อมูลของ DGE รวมทั้งสิ้นไขมัน ๖๐-๘๐ กรัมต่อวันเพียงพอแล้ว
ตัวร้ายหมายเลข ๒ น้ำตาล
น้ำตาลและแป้งจัดอยู่ในคาร์โบไฮเดรต ซึ่งจำเป็นสำหรับร่างกายในฐานะตัวให้พลังงาน อย่างไรก็ดี การกินมากเกินไปก็ทำให้น้ำหนักเกิน ที่น่ากังขาเป็นพิเศษคือเครื่องดื่มที่ประกอบด้วยน้ำตาล เนื่องจากนอกเหนือจากน้ำตาล ที่พบได้บ่อย ไม่ได้ประกอบด้วยสารอาหารอื่น ๆ ทำให้ส่งเสริมให้น้ำหนักเกินและเพิ่มความเสี่ยงสำหรับเบาหวานประเภทสอง ตามข้อบ่งชี้ของศูนย์ผู้บริโภคแคว้นนอร์ดไรน์-เวสฟาเลนในเอกสารให้คำแนะนำ “Achtung Zucker!“ แม้ว่าคาร์โบไฮเดรตจะจำเป็นสำหรับร่างกาย แต่น้ำตาลไม่ใช่ ดังนั้นจึงสมควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลหรือตัวให้ความหวานอื่น ๆ เช่น น้ำผึ้ง ไซรัป ฯลฯ การประหยัดน้ำตาลทำได้โดยการกินผลไม้สดแทนผลไม้กระป๋อง แทนที่จะดื่มผงโกโก้ที่ผสมพร้อมดื่มก็ดื่มผงโกโก้แท้กับนม และโยเกิร์ตผลไม้ที่ทำเองก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าโยเกิร์ตผลไม้ที่ซื้อมา โดยสามารถลดน้ำตาลได้ถึง ๗๐% ผู้ที่ประสงค์จะระมัดระวังปริมาณน้ำตาลให้ดูที่ตารางคุณค่าอาหาร ผู้ที่ดูเพียงรายการส่วนประกอบมักพบว่ามีปัญหา เนื่องจากนอกเหนือจาก “น้ำตาล” ทั้งน้ำตาลจากนมและผลไม้ก็มีส่วนในปริมาณน้ำตาลด้วยเช่นเดียวกับสารให้ความหวาน ทั้งที่ไม่มีคำว่าน้ำตาลอยู่ในชื่อ ตัวอย่างเช่น Dextrose, Dicksaft, Fruktose, Glukose หรือ Saccharose และส่วนประกอบ เช่น ผลไม้แห้ง ช็อคโกแลตไว้โรยหน้าหรือผลไม้สดก็เพิ่มปริมาณน้ำตาล
การกินน้ำตาลมากเกินไปยังไม่ดีต่อฟัน ตามข้อมูลของสมาคมการรักษาฟันเยอรมัน (DGZ) การศึกษายืนยันว่ามีความเกี่ยวพันระหว่างปริมาณและความบ่อยของการกินน้ำตาลกับการเกิดขึ้นของโรคฟันผุ DGZ จึงแนะนำว่าให้จำกัดการกินอาหารและเครื่องดื่มที่ประกอบด้วยน้ำตาลและลดความบ่อยของการกินอาหารระหว่างมื้อและเครื่องดื่มที่ประกอบด้วยน้ำตาลด้วย นอกจากนั้น การใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคฟันผุลงด้วย องค์การอนามัยโลกแนะนำผู้ใหญ่ไม่ให้กินน้ำตาลมากกว่า ๕๐ ถึงสูงสุด ๖๐ กรัมต่อวัน
ตัวร้ายหมายเลข ๓ ได้แก่ เกลือ
เกลือมากเกินไปทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับเส้นโลหิตในสมองแตก ตามข้อมูลของ ที่ถูกสุขลักษณะคือการกินเกลือวันละ ๓-๖ กรัม หรือเท่ากับราว ๑ ช้อนชา ตามจริงประชาชนในประเทศเยอรมันกินเกลือเฉลี่ยวันละ ๙.๕ กรัม สมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาเยอรมัน (BDN) ที่ Krefeld ชี้แจ้งว่าในการกินเกลือวันละ ๑๐ แทน ๕ กรัม ความเสี่ยงของเส้นโลหิตแตกในระยะยาวเพิ่มขึ้นเกือบ ๑ ใน ๔ แต่ไม่ควรละเว้นเกลือโดยสิ้นเชิง เนื่องจากเกลือมีความสำคัญมากสำหรับร่างกาย โดยโซเดียม (ภาษาเยอรมันเรียกว่า Natrium) ที่ประกอบอยู่ในเกลือช่วยปกป้องเซลล์จากการขาดน้ำ นอกจากนั้น ยังมีหน้าที่กำกับปริมาณน้ำ การดูดซึมสารอาหารและการไหลเวียนของโลหิต เพื่อควบคุมปริมาณเกลือ ผู้บริโภคควรงดเว้นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจะดีที่สุด ผู้ที่ทำอาหารเองจะรู้ว่ามีเกลืออยู่ในอาหารเท่าใด ที่ดีด้วยก็คือการเติมเกลือน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ทางเลือกสำหรับรสชาติสามารถใช้สมุนไพร พริกไทยหรือพริก
ตัวร้ายหมายเลข ๔ คือ แอลกอฮอล์
การบริโภคแอลกอฮอล์จะเกี่ยวข้องกับตับเช่นเดียวกับตัวร้ายหมายเลข ๑ ตามข้อมูลของ DGE การบริโภคแอลกอฮอล์เป็นประจำสม่ำเสมอมีอิทธิพลต่อกล้ามเนื้อ ทำลายประสาทและอวัยวะ นอกเหนือจากตับ ก็เช่น ตับอ่อน และส่งเสริมให้มีน้ำหนักเกิน รวมทั้งปัญหาทางจิตและโรคมะเร็ง ตามคำอ้างอิงสำหรับการกินสารอาหาร ขณะนี้ ๒๐ กรัมแอลกอฮอล์สำหรับบุรุษที่สุขภาพดีและ ๑๐ กรัมต่อวันสำหรับสตรีที่สุขภาพดี ถือว่าเป็นปริมาณที่รับได้ อย่างไรก็ดี ไม่ได้เป็นข้อแนะนำให้ดื่มมากขนาดนี้ทุกวัน
การเสพแอลกอฮอล์ของผู้ปกครองส่งผลต่อลูก ๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น หากเด็กเรียนรู้ว่าแอลกอฮอล์เป็นเครื่องดื่มสำหรับช่วงเย็นและในเวลาว่าง ภายหลังเด็กก็จะรับธรรมเนียมนี้ไปปฏิบัติต่อไป ที่เป็นปัญหาเป็นพิเศษ คือ หากผู้ปกครองหันหาแอลกอฮอล์ยามที่เครียดและใช้เบียร์หรือไวน์เป็นเครื่องมือผ่อนคลาย ทั้งนี้เป็นการระบุของสมาคมอาชีพจิตวิทยาเด็กและเยาวชน
ผู้เขียนเคยใช้ความคิดอยู่หลายครั้ง ว่าคนเราต้องยอมสละทุกอย่างที่รสชาติอร่อยเพื่อการมีสุขภาพที่ดีหรือ? ไขมันก็เป็นตัวทำให้เกิดรสชาติ ถ้าไม่ใส่เกลืออาหารก็จืดชืด ชากาแฟที่ไม่ใส่น้ำตาลก็ขมไม่อร่อย แต่ก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าไม่ต้องทรมานทรกรรมตัวเองถึงกับหยุดกิน เพียงแต่ระมัดระวังอย่ากินให้เกินขอบเขตที่ควร แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว ยิ่งถ้าออกกำลังกายร่วมด้วยก็จะยิ่งเยี่ยม แต่ข้อหลังนี่ดูจะยากเสียกว่าการงดกินขนมเสียอีกนะนา!
ข้อมูล Aacherner Zeitung
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น