เอกอัครราชทูต วิญญู แจ่มขำ
สถานที่แรกที่อุลบริคท์ไปพำนักคือกรุงปารีส และเข้าทำงานที่พรรคคอมมิวนิสต์ แห่งเยอรมนีสาขาต่างประเทศ แล้วเดินทางไปอยู่ที่กรุงมอสโกตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๓๘ (พ.ศ. ๒๔๘๑) จนถึงเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๙๔๕ (พ.ศ. ๒๔๘๘) ที่นั่นเขาได้พบ Tito จากยูโกสลาเวีย Togliatti จากอิตาลี่ และ Thorez จากฝรั่งเศส แม้ว่าอุลบริคท์เคยมาเรียนที่กรุงมอสโกและคุ้นเคยหลักสูตรต่าง ๆ บ้างแล้วก็ตาม แต่ครั้งนี้ เขาต้องศึกษาตามแนวของผู้มีอำนาจในกรุงมอสโกเท่านั้น
ครั้นวันที่ ๒๓ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๓๙ (พ.ศ. ๒๔๘๒) ๑ สัปดาห์ก่อนเกิดสงครามโลก ครั้งที่ ๒ ฮิทเล่อร์กับสตาลินลงนามสัญญาไม่โจมตีกัน อุลบริคท์ชื่นชมสัญญานี้เงียบ ๆ แต่อีก ๒ ปีต่อมา เมื่อฮิทเล่อร์ละเมิดสัญญาดังกล่าว เขาก็เห็นทางเพลี่ยงพล้ำของรัฐบาลนาซีและหวังจะกลับบ้านเสียที การที่เยอรมนีเปิดแนวรบหลายด้าน โดยเฉพาะเมื่อได้สูญเสียกำลังพลไปมากที่สตาลินกราด รวมทั้งสหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมสงครามจนท้ายที่สุดส่งผลให้เยอรมนีพ่ายแพ้ ผู้คนประสบความทุกข์ลำเค็ญและยังไม่รู้ชะตากรรมของอาณาจักร ฯ ว่าจะเป็นอย่างไร แต่บุคคลที่ซ่อนอาวุธลับเพื่อยึดครองอำนาจในเยอรมนีภายหลังสงคราม กำลังดำเนินงานตามแผนต่อไป
รัสเซียได้เข้ามาตั้งกองบัญชาการทหารในกรุงเบอร์ลินแล้ว พร้อมกับออกคำสั่งอนุญาตให้พรรคการเมืองทั้งหลายที่เป็นปฏิปักษ์พรรคนาซีดำเนินงานต่อไปได้ ระยะนี้ อุลบริคท์ต้องทำงานประสานและรับคำสั่งจากกองบัญชาการทหารรัสเซียในกรุงเบอร์ลินเป็นประจำ เขารู้ดีว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเยอรมนีเมื่อ ๑๒ ปีก่อน มีที่นั่งในสภาอาณาจักร ฯ ไม่มาก แม้หากมีการเลือกตั้งขณะนี้ ก็คงไม่ได้ที่นั่งมาก เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องตั้งพรรคการเมืองใหม่ที่มีเอกภาพโดยรวมพลพรรคประชาธิปไตยสังคมกับพรรคคอมมิวนิสต์เข้าด้วยกัน เพื่อเข้าปกครองประเทศแทนพรรคการเมืองอื่น และนี่คือแผนขั้นที่ ๒ ซึ่งลงมือในวันที่ ๒๑ เมษายน ค.ศ. ๑๙๔๖ (พ.ศ. ๒๔๘๙)
อุลบริคท์ได้รับคำสั่งให้ไปพบพันเอก Tulpanow หัวหน้าสำนักงานสารนิเทศของกองบัญชาการทหารรัสเซีย ฯ เพื่อรับนโยบายว่า “คงยากที่จะรวมเบอร์ลินซีกตะวันตกและเยอรมนีซีกตะวันตกเข้ามาไว้ในครอบครองด้วยได้ แต่อย่างน้อยต้องดำเนินการให้เขตยึดครองเยอรมนีของสหภาพโซเวียตมีรูปแบบการปกครองอย่างรัสเซีย ดังนั้นในวันที่ ๑๗ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๔๘ (พ.ศ. ๒๔๙๑) ๓ วันก่อนที่รัสเซียจะถอนตัวออกจากคณะกรรมการยึดครองเยอรมนี ๓ วันก่อนที่ฝ่ายรัสเซียใช้วิธีปิดล้อมเบอร์ลินซีกตะวันตก และเป็นช่วงเวลาก่อนที่คณะกรรมการรัฐสภาในเขตยึดครองเยอรมนีตะวันตกจะประชุมกันครั้งแรกที่กรุงบ็อนน์ ส่วนฝ่ายรัสเซียก็จะจัดให้มีสมัชชาประชาชนเยอรมันเพื่อเลือกสภาประชาชนเยอรมัน
ดังได้กล่าวแล้วว่า ประเทศมหาอำนาจผู้ชนะสงครามและควบคุมเยอรมนีไม่สามารถ ตกลงเรื่องระบบการเมืองการปกครองและระบบเศรษฐกิจสำหรับเยอรมนีใหม่ได้ ประเทศมหาอำนาจฝ่ายเสรีนิยม ๓ ประเทศ จึงตัดสินใจรวมเขตยึดครองของตนตั้งเป็นประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๔๙ (พ.ศ. ๒๔๙๒) ต่อมาในวันที่ ๗ ตุลาคม พันเอกทุลพาน็อฟได้ประกาศจัดตั้งให้เขตยึดครองของสหภาพโซเวียต เป็นประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน ซึ่งถือเป็นวันเริ่มความตึงเครียดระหว่างเยอรมนีด้วยกัน ขณะที่อุลบริคท์ ผู้อยู่เบื้องหลังยังมีตำแน่งเพียงรองนายกรัฐมนตรี อีก ๑ ปีต่อมา เขาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหนเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคเอกภาพสังคมนิยมแห่งเยอรมนี (Sozialistische Einheitspartei Deutschlands/SED)

ขอบคุณภาพจาก Bundesarchiv, Bild 183-08483-0003 / Köhler, Gustav / CC-BY-SA
ดร. คอนหราด อาเดเนาเอ้อร์ นายกรัฐมนตรีคนแรกของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลทรงอำนาจในเยอรมนีตะวันตกฉันใด วัลเท่อร์ อุลบริคท์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลทรงอำนาจในเยอรมนีตะวันออกฉันนั้น นอกจากวิธีการขึ้นสู่อำนาจแตกต่างกันแล้ว บุคคลทั้ง ๒ ต่างก็นำพาประเทศภายใต้ธงชาติสีดำ/แดง/ทอง ๒ ผืนที่มีสัญลักษณ์ต่างกันไปคนละแนวทาง
นับตั้งแต่ปี ๑๙๔๗ (พ.ศ. ๒๔๙๐) ชาวนาเยอรมันในเขตยึดครองของสหภาพโซเวียตต่างละทิ้งผืนนาของตนเนื่องจากทางการมีนโยบายปฏิรูปที่ดิน โรงงานถูกยึด กิจการร้านค้าขายถูกโอนไปเป็นของรัฐหรือไม่ก็ถูกแบ่งปันไป พอย่างเข้าปี ๑๙๕๐ (พ.ศ. ๒๔๙๓) เป็นต้นมา นักการเมือง ชนชั้นกลาง พนักงาน แพทย์ กรรมกร และชาวนา เริ่มหลบหนีข้ามมาอยู่ในเยอรมนีตะวันตกและนครเบอร์ลินตะวันตก ยิ่งเมื่อก่อตั้งสหกรณ์การผลิตแล้ว พ่อค้าแม่ขายและช่างฝีมือต่างถูกริบทรัพย์สิน จึงพากันหลบหนีข้ามมาอีกหลายแสนคน
โปรดติดตามอ่านตอนที่ 4
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น