วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

มโนสาเร่ (๒) : โฉมหน้าจีนใหม่

เอกอัครราชทูต  วิญญู แจ่มขำ
                   ปู้  ปอ  จ่ง  เตอตี้  ฟาง             ไม่หว่านพืชลงสู่ดิน
ปู๋ฮุ่ยเต๋อต้าวเฟิงโซว                                   ย่อมอดกินทั้งดอกผล

การยึดถือการต่อสู้ทางชนชั้นเป็นหลัก  ตามแนวความคิดของประธานเหมา  เจ๋อ ตง(เหมา  จู่ฉี) ทำให้เกิดการปฏิวัติทางวัฒนธรรม  แล้วส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนแทบหายนะ  ท่านเติ้ง  เสี่ยว ผิง  ผู้นำนักปฏิรูปคนสำคัญ  ซึ่งเคยได้กล่าววาจาเป็นอมตะว่า  “ปู้ก่วน เฮยเมา  ไป่  เมา, จัว  จู้  เหลา  สู่  จิ้ว  ซื่อ  ห่าว  เมา  (ไม่ว่าแมวดำแมวขาว  ขอแต่จับหนูได้ก็เป็นแมวดี)” จึงได้เปลี่ยนแนวทางของประธานเหมา  เจ๋อ ตง  โดยเสนอแนวทางใหม่ว่า  “หนึ่งศูนย์กลาง  สองจุดมูลฐาน”
“หนึ่งศูนย์กลาง”  คือ  มุ่งมั่นสร้างสรรค์เศรษฐกิจเป็นหลัก  ส่วน  “สองจุดมูลฐาน”  คือปฏิรูปและเปิดประเทศ กับ เดินหนทางสังคมนิยม  ท่านเติ้ง  เสี่ยว ผิง  เห็นว่า  สาธารณรัฐประชาชนจีน กำลังอยู่ในระบอบสังคมนิยมขั้นต้น  ประสิทธิภาพการผลิตและระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนยังต่ำ  ฉะนั้นภาระหน้าที่รีบด่วนที่สุดของประชาชาติก็คือต้องพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้รุ่งเรือง  เพื่อว่าประชาชนจะมีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น  ท่านกล่าวว่า  “ไม่พัฒนาเศรษฐกิจ  ไม่ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นพวกเราก็มีแต่ตายอย่างเดียว”
นับตั้งแต่ปี ๒๕๒๓  เป็นต้นมา  การสร้างสรรค์เศรษฐกิจก็อยู่ตำแหน่งศูนย์กลางของงานทั้งปวงมาตลอด  ยอดมูลค่าการผลิตเพิ่มมากขึ้น  ตามร้านค้าใหญ่เล็กทั่วประเทศ  มีสินค้าอุปโภคบริโภคมากมายและหลากหลาย
การเปิดประเทศ  ถือเป็นนโยบายสำคัญที่ท่านเติ้ง  เสี่ยว ผิง  ริเริ่มและส่งเสริม  ท่านกล่าวว่า
“ประสบการณ์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า  การสร้างสรรค์โดยปิดประเทศนั้น  ไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้การพัฒนาสาธารณรัฐประชาชนจีนจะห่างเหินจากโลกไม่ได้
ความหมายของการเปิดประเทศ  ก็คือนักลงทุนต่างชาติจะได้รับการปฏิบัติด้วยนโยบายพิเศษต่าง ๆ  ที่สำคัญ  ได้แก่  การลดหรือยกเว้นภาษี  เพื่อนักธุรกิจต่างชาติสามารถแสวงหากำไรได้   พร้อมกันนี้  รัฐบาลท้องถิ่นในเขตเปิด  ต่างก็ได้รับมอบอำนาจระดับต่าง ๆ กัน  และสามารถพิจารณาอนุมัติการลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติได้
ตั้งแต่สาธารณรัฐประชาชนจีนดำเนินนโยบายเปิดประเทศมา  การลงทุนและร่วมทุนจากนักธุรกิจต่างชาติมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น  กิจการต่าง ๆ เหล่านี้  ได้ผลิตสินค้านับพันนับหมื่นชนิด  รวมทั้งรถยนต์  โทรทัศน์สี  โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป  อาหาร  และเครื่องสำอาง
ควบคู่ไปกับการปฏิรูปและเปิดประเทศ  ท่านเติ้ง  เสี่ยว ผิง  ได้เตือนประชาชนจีนว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนจักต้องยืนหยัดการเดินหนทางสังคมนิยม  นัยสำคัญก็คือ  ต้องยืนหยัดตามการชี้นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน  ระบอบกรรมสิทธิ์รวมจะยังต้องอยู่ในฐานะหลัก  และน้าวนำไปสู่หนทางที่จะร่ำรวยขึ้นร่วมกันเขากล่าวว่า  “นโยบายของเรา  อนุญาตให้คนส่วนหนึ่งร่ำรวยขึ้นก่อน  และให้เขตบางเขต
ร่ำรวยขึ้นก่อนได้แต่จุดมุ่งหมายปลายทางนั้น  ก็เพื่อจะทำให้ความร่ำรวยร่วมกันปรากฏขึ้นโดยเร็วยิ่งขึ้น
ถึงวันนี้  เซินเจิ้นหรือคิมจุง เขตเศรษฐกิจพิเศษรุ่นแรก  ในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) มีอายุครบ ๓๔ ปีแล้วช่วงระยะเวลาที่ก่อตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ  รัฐบาลกลางได้ให้ทุนทรัพย์มาดำเนินงานเพียง ๑๐๐ ล้านหยวนแต่เขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้นก็สามารถส่งผลประโยชน์ให้รัฐบาลมณฑลกว่างตงและรัฐบาลกลางที่กรุงปักกิ่งมีมูลค่ามากกว่าล้านล้านหยวน   อดีตประธานาธิบดีเจียง  เจ๋อ หมิน  ได้แสดงความคิดเห็นเตือนว่า  การปฏิรูปเป็นเรื่องดี  หากควบคุมการฉ้อฉลได้  แต่หากเมื่อไรคุมไม่อยู่  เมื่อนั้น  มหันตรายจะคืบคลานเข้ามา  และอาจส่งผลให้    พรรคคอมมิวนิสต์ล่มสลายง่าย ๆ  ดังที่เคยบังเกิดขึ้นในอดีตสหภาพโซเวียต น่าเสียดายที่ท่านผู้นำนักปฏิรูปถึงแก่อสัญกรรมในช่วงเวลาที่จะได้เกาะฮ่องกงกลับคืนมา (เซี่ยงก่างหุย กุย) แต่แนวทางเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าจีนใหม่ที่ท่านได้ริเริ่มเพื่อความเจริญก้าวหน้าของจีนใหม่   เป็นภารกิจที่ประชาชนจีนต่างจดจำกันสืบต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น