ผู้เขียนนั้นมีนิสัยรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า แม้แต่ถุงกระดาษที่ใส่ข้าวของมาจากตลาด (สมัยก่อนยังไม่มีถุงพลาสติก “ก๊อปแก๊ป” เกลื่อนกรุงเหมือนทุกวันนี้) ก็ยังแกะออกมาอ่าน จึงมีสมญาว่า “หนอน” ปัจจุบันนี้งานหลักก็ยังเป็นการอ่านหนังสือบรรดามี ยิ่งมาเขียนบทความใน “ชาวไทย” เวลาอ่านเจอสิ่งใดที่เห็นว่าน่าสนใจก็นึกเลยไปถึงผู้อ่านและมักจดบันทึกหรือตัดเก็บไว้ เรื่องที่นำมาลงวันนี้ก็รวบรวมไว้พักนึงแล้ว เนื่องจากเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในหัวข้อเดียวกัน จึงจัดเป็นเรื่องสัพเพเหระ ที่หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านบางท่าน
- ป้อนอาหารลูก ในการป้อนอาหารคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ประสบกับความยากลำบากในช่วงเริ่มต้น หากลูกร้องไห้ขณะป้อนอาหาร Maria Flothkoettler หัวหน้าโครงการเครือข่าย “Gesund ins Leben“ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเพื่อการบริโภคชี้แจงว่าอาจจะเป็นเพียงแค่ปวดฟัน ยังกลืนไม่ค่อยได้หรือหิวเกินไปแล้ว ส่วนใหญ่จะแก้ไขปัญหาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนสิ่งง่าย ๆ ๒-๓ อย่าง ได้แก่ คุณพ่อคุณแม่ควรปลอบลูกที่หิวให้สงบลงและป้อนช้อนแรกให้เร็วขึ้น ที่พบได้บ่อย ๆ สิ่งที่เด็กต้องสร้างความเคยชินว่าอาหารบดกินได้ช้ากว่าการดื่มนม ไม่ได้ไหลตามกันออกมาทันทีตลอดเวลาเหมือนเวลาให้นม การให้นมเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ สามารถช่วยได้ เนื่องจากเด็กจะไม่ค่อยหิวมากแล้ว เธอแนะนำว่าในการป้อนอาหารครั้งหน้า ผู้ปกครองควรป้อนเร็วขึ้นกว่าเดิมก่อนที่ลูกจะเริ่มหิว
- พินัยกรรมต้องเป็นการเขียนจากผู้มอบมรดกด้วยตัวเอง ในการเขียนอาจได้รับการช่วยเหลือเล็กน้อยได้ อย่างไรก็ดี ในการเขียนด้วยลายมือของผู้มอบมรดกไม่ได้รับอนุญาตให้จับเขียนโดยบุคคลที่สาม เนื่องจากกฎหมายเรียกร้องว่าพินัยกรรมที่เขียนเองจะมีผล ผู้มอบมรดกต้องมีความสามารถในการเขียนที่ไม่ถูกครอบงำ ทั้งนี้ เป็นการตัดสินของศาลสูงที่ Hamm ตามที่สภาทนายความ Oldenburg เปิดเผย ในกรณีที่เป็นข้อพิพาท ผู้มอบมรดกได้เขียนพินัยกรรม ๒ เดือนก่อนการเสียชีวิต ดังนั้น ญาติจึงยื่นเรื่องขอ Erbschein ในการพิสูจน์หลักฐานพบว่าพยานผู้หนึ่งได้ช่วยเหลือเจ้าของมรดกที่ขณะนั้นอ่อนแรงมากแล้วในการเขียนพินัยกรรม ในการให้ปากคำต่อศาล พยานไม่สามารถยืนยันสมรรถภาพในการเขียนเองของเจ้าของมรดกได้แน่ ดังนั้น ศาลจึงเห็นว่าพินัยกรรมไม่มีผล เนื่องจากตามความเห็นของผู้พิพากษา ในการเขียนด้วยตนเอง ผู้มอบมรดกต้องเขียนการใคร่ครวญเป็นลายลักษณ์อักษรให้สำเร็จด้วยตนเอง ดังนั้น ข้อความที่ทำผ่านบุคคลที่สามจึงไม่มีผล แม้ว่าทำต่อหน้าเจ้าของมรดกตามความประสงค์และคำสั่งของเจ้าตัวและได้รับการลงชื่อจากเจ้าของมรดก เช่นเดียวกับหากมือของเจ้าของมรดกมีการช่วยจับให้เขียนและตัวอักษรเกิดจากการทำให้เป็นรูปร่างผ่านบุคคลที่สาม
- อุณหภูมิร่างกายของผู้สูงอายุสามารถลดต่ำได้เร็วเป็นพิเศษ หากผู้สัญจรบนท้องถนนสังเกตเห็นผู้สูงอายุที่แต่งตัวไม่เหมาะสมกับการต่อสู้กับความหนาวเย็นและพอสังเกตดูว่ากำลังสับสนไม่รู้ทิศทางว่าจะไปไหนแน่ควรแจ้งตำรวจ Christine Sowinski พยาบาลและนักจิตวิทยาของ Kuratorium
Deutsche Altershilfe (KDA) กล่าวว่าผู้สูงอายุจำนวนมากอายที่จะพูดกับผู้อื่นในสถานการณ์ดังกล่าว แต่หากอุณหภูมิในตัวลดต่ำ เวลามีความสำคัญมาก ที่ดีที่สุด คือ ถามว่าจะให้ช่วยอะไรหรือไม่ หาอะไรหรือ? หากมีความรู้สึกว่าผู้สูงอายุผู้นั้นเลอะเลือนหรือบางทีอาจหลงลืมไม่ควรอายที่จะติดต่อกับตำรวจและขอความช่วยเหลือ ที่สำคัญ คือ ตลอดเวลานี้มีคนอยู่กับบุคคลผู้นั้น เพื่อที่จะไม่เดินเปะปะไปตามลำพัง - ควรทำอย่างไรหากเด็กอายุน้อยกว่า ๓ เดือนและไข้ขึ้น ๓๘ องศาหรือมากกว่า? ผู้ปกครองควรนำตัวลูกไปพบกุมารแพทย์ Monika Niehaus โฆษกของสมาคมกุมารแพทย์และเยาวชน (BVKI) กล่าวว่าในวัยนี้ระบบภูมิคุ้มกันโรคยังพัฒนาไม่เต็มที่และแทบไม่สามารถป้องกันโรคได้ ทางที่ดีที่สุด คือ ผู้ปกครองควรวัดอุณหภูมิที่ก้น เพื่อให้ให้แน่ใจว่าวัดไข้ได้ถูกต้อง ผู้ปกครองควรวัดอุณหภูมิลูกตอนที่แข็งแรงดีไว้ก่อน ๒-๓ ครั้ง เด็กที่สุขภาพดีจะมีอุณหภูมิร่างกายระหว่าง ๓๖.๕-๓๗.๕ องศา ส่วนใหญ่เชื้อโรคเป็นต้นเหตุให้เกิดไข้สูง แต่ความร้อนสูงเกินไป เช่น ยามที่เด็กใส่เสื้อผ้ามากเกินไปก็สามารถนำไปสู่การมีไข้สูงได้ การขาดน้ำก็ทำให้เกิดไข้ในเด็กเช่นเดียวกัน กุมารแพทย์แนะนำว่ายิ่งทารกยังเล็กเท่าใด การไปพบแพทย์ก็ยิ่งมีเหตุผลดี
- ในอุณหภูมิที่หนาวเย็นยากที่จะลุกไปเล่นกีฬา แต่ประชาชนสูงอายุไม่ควรงดเว้นการเคลื่อนไหวอย่างสิ้นเชิง หากแต่แบ่งทำเป็นรอบเล็ก ๆ ศาสตราจารย์ Wolfgang Schlicht จากคณะกีฬาและการเคลื่อนไหว มหาวิทยาลัย Stuttgart กล่าวว่าการเคลื่อนไหว ๑๐-๒๐ นาทีด้วยความจริงจังปานกลางก็เพียงพอแล้ว ตัวอย่างความจริงจังปานกลางก็ได้แก่ การเดินเล่น เพื่อป้องกันโรคหัวใจ-การไหลเวียนของโลหิตและเบาหวาน ผู้สูงอายุควรเดินสัปดาห์ละ ๑๕๐ นาที ผู้ที่รู้สึกแข็งแรงดีได้รับอนุญาตให้ทำมากกว่านี้
เรียบเรียงโดย “เอื้อยอ้าย”
ข้อมูล Aachener Zeitung
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น