วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

โฉมหน้าจีนใหม่

เอกอัครราชทูต  วิญญู แจ่มขำ
       ปู้ ปอ จ่ง เตอ ตี้ ฟาง              ไม่หว่านพืชลงสู่ดิน
ปู๋ ฮุ่ย เต๋อ ต้าว เฟิง โซว          ย่อมอดกินทั้งดอกผล
การยึดถือการต่อสู้ทางชนชั้นเป็นหลักตามแนวทางของท่านประธานเหมา เจ๋อ ตง ก่อให้เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม (พ.ศ. ๒๕๐๙-๒๕๑๒) และส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนแทบหายนะ เติ้ง เสี่ยว ผิง ผู้นำปฏิรูปคนสำคัญซึ่งได้กล่าวคำคมจนกลายเป็นคำคมที่อมตะว่า “ปู้ ก่วน เฮย เมา ไป่ เมา, จัว จู้ เหลา สู่่ จิ้ว ซื่อ ห่าว เมา (ไม่ว่าแมวดำ แมวขาว  ขอแต่จับหนูได้ ก็เป็นแมวดี)” จึงได้เปลี่ยนแนวทางของท่านประธานเหมา เจ๋อ ตง โดยเสนอแนวทางใหม่ว่า “หนึ่งศูนย์กลาง สองจุดมูลฐาน”
“หนึ่งศูนย์กลาง” คือมุ่งมั่นสร้างสรรค์เศรษฐกิจเป็นหลัก ส่วน “สองจุดมูลฐาน” คือปฏิรูปและเปิดประเทศ กับเดินหนทางสังคมนิยม ท่านเห็นว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังอยู่ในระบอบสังคมนิยมขั้นต้น ประสิทธิภาพการผลิตและระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนยังต่ำ ฉะนั้น ภาระหน้าที่รีบด่วนที่สุดของประชาชาติก็คือต้องพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้รุ่งเรือง เพื่อว่าประชาชนจะมีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น ท่านกล่าวว่า “ไม่พัฒนาเศรษฐกิจ ไม่ปรับปรุงชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น พวกเราก็มีแต่ตายอย่างเดียว”
ดังนั้น ตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ เป็นต้นมา การสร้างสรรค์เศรษฐกิจก็อยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของงานทั้งปวงมาตลอด ปริมาณและมูลค่าการผลิตเพิ่มมากขึ้น ตามร้านค้าใหญ่เล็กทั่วประเทศมีสินค้าอุปโภคและบริโภคมากมายและหลากหลาย
การเปิดประเทศถือเป็นนโยบายสำคัญที่ท่านได้ริเริ่มและส่งเสริม ท่านกล่าวว่า “ประสบการณ์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การสร้างสรรค์โดยปิดประเทศนั้นไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ การพัฒนาสาธารณรัฐประชาชนจีนจะห่างเหินจากโลกไม่ได้”
ความหมายของการเปิดประเทศก็คือ นักลงทุนจากต่างประเทศจะได้รับประโยชน์จากนโยบายพิเศษต่าง ๆ เช่นได้รับการลดหรือยกเว้นภาษี เพื่อนักลงทุนจากต่างประเทศสามารถแสวงหากำไรได้ พร้อมกันนั้นทางการท้องถิ่นในเขตเศรษฐกิจเปิดพิเศษต่างได้รับมอบอำนาจระดับต่าง ๆ กัน และสามารถพิจารณาอนุมัติการลงทุนของนักลงทุนจากต่างประเทศได้
ตั้งแต่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ดำเนินนโยบายเปิดประเทศมา การลงทุนและร่วมทุนกับนักธุรกิจจากต่างประเทศมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น กิจการต่าง ๆ เหล่านั้นได้ผลิตสินค้านับพันนับหมื่นชนิด
ควบคู่ไปกับการปฏิรูปและเปิดประเทศ ท่านได้เตือนประชาชนจีนว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจักต้องยืนหยัดหนทางสังคมนิยม นัยสำคัญก็คือต้องยืนหยัดตามการชี้นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบอบกรรมสิทธิ์รวมจะยังต้องอยู่ในฐานะหลักและโน้มนำไปสู่หนทางที่จะร่ำรวยขึ้นร่วมกัน ท่านกล่าวว่า “นโยบายของเราอนุญาตให้คนส่วนหนึ่งร่ำรวยขึ้นก่อน และให้เขตบางเขตร่ำรวยขึ้นก่อนได้ แต่จุดหมายปลายทางนั้นก็เพื่อจะทำให้ความร่ำรวยร่วมกันปรากฏโดยเร็วยิ่งขึ้น”
จนถึงวันนี้ เซินเจิ้น หรือ คิมจุง เขตเศรษฐกิจพิเศษแรกในมณฑลกว่างตง หรือกวางตุ้ง มีอายุ ๓๔ ปีแล้ว ช่วงเวลาที่ก่อตั้ง รัฐบาลกลางได้ให้ทุนทรัพย์ไปดำเนินงานเพียง ๑๐๐ ล้านหยวน แต่เขตเศรษฐกิจดังกล่าวสามารถส่งผลประโยชน์ให้ทางการมณฑลกว่างตงและรัฐบาลที่กรุงปักกิ่งหลายล้านเท่า
อดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อ หมิน ได้แสดงความคิดเห็นว่า การปฏิรูปเป็นเรื่องดีหากควบคุมการฉ้อฉลได้ หากเมื่อไรควบคุมไม่อยู่ เมื่อนั้นมหันตรายจะคืบคลานเข้ามา และอาจส่งผลให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนล่มสลายได้
น่าเสียดายที่ท่านผู้นำนักปฏิรูปถึงแก่อสัญกรรมในช่วงเวลารวมดินแดนอาณานิคมเซียงก่าง หรือ ฮ่องกง (ซึ่งขณะนี้มีปัญหาพลเมืองขอใช้สิทธิเลือกตั้งผู้บริหารเอง) กลับคืนมา แต่แนวทางเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าจีนใหม่ที่ท่านเป็นผู้นำริเริ่มไว้จนประเทศเจริญก้าวหน้า ได้ทำให้ชาวจีนภูมิใจ และชาวต่างประเทศก็อดทึ่งไม่ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น