ถั่วที่มีรสชาติหวาน กรอบอร่อย จนมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Sugar Pea ส่วนชื่อภาษาไทยว่า “ลันเตา” มาจากชื่อจีนว่า ห่อหลั่นเตา ซึ่งห่อหลั่น หมายถึง ฮอลแลนด์ เตา แปลว่า ถั่ว ถั่วลันเตาแบ่งออกเป็นถั่วลันเตาเมล็ด ถั่วลันเตาฝัก ถั่วลันเตายอด ถั่วลันเตาเมล็ดใช้เมล็ดแก่ไปปรุงอาหารหรือแปรรูป ถั่วลันเตาฝัก ใช้ฝักและเมล็ดอ่อนปรุงอาหาร ส่วนถั่วลันเตายอดหรือที่เรียกว่า “โตเหมี่ยว” ใช้ยอดและต้นอ่อนมาปรุงอาหาร
ไม่ว่าจะเป็นถั่วลันเตาประเภทใด เมื่อนำมาปรุงด้วยความร้อนจะให้รสหวานอ่อน ๆ ในแบบฉบับของผัก เพราะแป้งในเมล็ดและฝักจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล อย่างไรก็ตาม ควรปรุงแบบไฟแรงโดยใช้เวลาน้อย เพราะนอกจากจะช่วยคงความกรอบได้แล้ว ยังเป็นการคงคุณค่าสารอาหารไว้ด้วย นอกจากปรุงอาหารแล้วยังนำไปแปรรูปได้ โดยการใช้สายพันธุ์ที่เมล็ดขนาดเล็ก ผิวเมล็ดขรุขระ ฝักหรือเมล็ดสีเขียวเข้มไปทำถั่วลันเตาแช่แข็ง ส่วนสายพันธุ์ที่เมล็ดขนาดใหญ่ ผิวเมล็ดเรียบ ฝักหรือเมล็ดสีเขียวอ่อน จะนำเมล็ดไปบรรจุกระป๋อง
ถั่วลันเตาอุดมไปด้วยเบตาแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ และเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยบำรุงสุขภาพผิว สายตา และสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงถั่วลันเตามีไขมันต่ำแต่ให้โปรตีนสูง มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง โดยถั่วลันเตา 2 ทัพพี ให้แคลเซียมถึง 170 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าถั่วฝักยาว 4 เท่า
ถั่วลันเตาเป็นผักที่ให้วิตามินบี 1 สูงมาก โดยในปริมาณ 100 กรัม ให้ไทอะมินกว่าร้อยละ 60 ของความต้องการในแต่ละวันของร่างกาย วิตามินชนิดนี้จำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาท ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน และช่วยให้รู้สึกสดชื่นกระปรี๊กระเปร่า ถั่วลันเตายังเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง เพราะมีโซเดียมต่ำและมีโพแทสเซียม ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลของน้ำในร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่น ๆ เช่น เหล็ก โฟเลต ไนอะซิน และวิตามินซี
นอกจากสารอาหารต่าง ๆ แล้ว ถั่วลันเตายังอุดมด้วยเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำ ที่ช่วยลดระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในเลือดและช่วยจับสารพิษก่อโรคในลกไส้ และเส้นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ ที่ช่วยเพิ่มปริมาณกากใยอาหารในลำไส้ ช่วยปรับสมดุลในระบบทางเดินอาหาร บรรเทาอาการท้องเสียเรื้อรัง และอาการระคายเคืองในลำไส้ ถั่วลันเตาจึงเป็นผักน่าสนใจอีกชนิดที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งในลำไส้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น