เอเอฟพี – ผลการศึกษาที่นำออกเผยแพร่วันนี้ (4 พ.ย.) ชี้ว่า คนที่ทำงานเป็นกะเป็นเวลานาน 10 ปีขึ้นไปอาจมีอาการหลงลืม และสมองเสื่อมพลัง นอกจากนี้ งานวิจัยชิ้นนี้ยังสะท้อนความกังวลต่ออาชีพที่ต้องเสี่ยงอันตรายอีกด้วย
แม้ว่า คณะนักวิจัยที่ตีพิมพ์รายงานฉบับนี้ในวารสาร “Occupational & Environmental Medicine” จะระบุว่ายังสามารถย้อนกลับไปแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการทำงานของสมองได้ แต่อาจต้องใช้เวลา 5 ปีเป็นอย่างต่ำ
งานวิจัยนี้ชิ้นนี้นับเป็นการศึกษาล่าสุดที่สะท้อนถึงภัยร้ายของการทำงานเป็นกะ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำให้นาฬิกาชีวภาพในร่างกายตีรวน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการศึกษาพบว่า การทำงานลักษณะนี้มีส่วนเกี่ยวพันกับปัญหาสุขภาพต่างๆ อย่างแผลในกระเพาะอาหาร โรคหลอดเลือดและหัวใจ ตลอดจนมะเร็งบางชนิด
แม้ว่า คณะนักวิจัยที่ตีพิมพ์รายงานฉบับนี้ในวารสาร “Occupational & Environmental Medicine” จะระบุว่ายังสามารถย้อนกลับไปแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการทำงานของสมองได้ แต่อาจต้องใช้เวลา 5 ปีเป็นอย่างต่ำ
งานวิจัยนี้ชิ้นนี้นับเป็นการศึกษาล่าสุดที่สะท้อนถึงภัยร้ายของการทำงานเป็นกะ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำให้นาฬิกาชีวภาพในร่างกายตีรวน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการศึกษาพบว่า การทำงานลักษณะนี้มีส่วนเกี่ยวพันกับปัญหาสุขภาพต่างๆ อย่างแผลในกระเพาะอาหาร โรคหลอดเลือดและหัวใจ ตลอดจนมะเร็งบางชนิด
คณะนักวิจัยกล่าวว่า การศึกษานี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า การทำงานเป็นกะเป็นสาเหตุที่ทำให้ความสามารถในการรับรู้เสื่อมถอย ถึงแม้ว่าจะดูมีเหตุผลให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นอยู่มาก แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีการวิจัยลงลึกกันต่อไป
นักวิจัยสรุปว่า การค้นพบครั้งนี้ไม่เพียงกระตุ้นเตือนผู้ที่ทำงานเป็นกะ ถึงปัญหาสุขภาพที่อาจตามมาเป็นรายบุคคลเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความตระหนักแก่สังคม พร้อมกันนี้พวกเขาได้ชี้ว่า อาชีพที่ต้องทำงานในเวลากลางคืนท่ามกลางสภาวะที่เสี่ยงอันตรายสูงกำลังมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นักวิจัยสรุปว่า การค้นพบครั้งนี้ไม่เพียงกระตุ้นเตือนผู้ที่ทำงานเป็นกะ ถึงปัญหาสุขภาพที่อาจตามมาเป็นรายบุคคลเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความตระหนักแก่สังคม พร้อมกันนี้พวกเขาได้ชี้ว่า อาชีพที่ต้องทำงานในเวลากลางคืนท่ามกลางสภาวะที่เสี่ยงอันตรายสูงกำลังมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้จัดการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น