ในวันที่ ๑๓ กันยายนที่ผ่านมา การลงโทษที่รุนแรงขึ้นของสหภาพยุโรปต่อประเทศรัสเซียมีผลใช้บังคับ โดยทูตของ EU ทั้ง ๒๘ ประเทศเห็นพ้องต้องกันที่บรัสเซลส์หลังการถกเถียงเป็นเวลาหลายวัน การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจครั้งใหม่มีขึ้นต่อธนาคารของรัฐ บริษัทค้าอาวุธและบริษัทผลิตน้ำมัน โดย EU ประสงค์จะทำให้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ของ EU ยากขึ้น นอกจากนั้นมีการขยายการห้ามส่งออกสำหรับเทคโนโลยีขุดเจาะน้ำมัน เช่นเดียวกับการจำกัดการส่งออกยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ใช้งานได้ บุคคลอีก ๒๔ คนบัญชีถูกแช่แข็งและห้ามการเดินทางเข้า EU (ขณะนี้รวมทั้งสิ้นมีจำนวน ๑๑๙ คน) โดยเป็นผู้แบ่งแยกดินแดนยูเครนตะวันออกและผู้นำความคิดเห็นจากแวดวงการเมืองและเศรษฐกิจของรัสเซีย
แต่ EU ไม่ได้บอยคอตอย่างเดียวเท่านั้น ยังผ่อนปรนด้วย ระหว่างที่มาตรการลงโทษดำเนินไป ในวันที่ ๑๒ กันยายนที่ผ่านมาผู้แทน EU ได้พบปะกับนักการเมืองระดับสูงจากรัสเซียและยูเครนที่บรัสเซลส์ Herman Van Rompuy ประธาน EU-Rat ได้เน้นเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายนที่ผ่านมาว่า EU พร้อมจะเปลี่ยนแปลง งด หรือเรียกคืนมาตรการลงโทษทั้งหมดอย่างรวดเร็ว หากมอสโคว์พยายามในการยุติวิกฤติยูเครน
กระทรวงต่างประเทศรัสเซียระบุว่าจะมองมาตรการลงโทษของ EU ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตร เป็นเวลาหลายวันมาแล้วที่คาดเดากันว่ามอสโคว์สามารถระงับสิทธิการบินเหนือน่านฟ้าสำหรับสายการบินตะวันตก ซึ่งจะบีบให้ต้องบินอ้อมระหว่างทางไปยังทวีปเอเชียและที่ทำให้เสียค่าใช้จ่ายแพงขึ้น ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือว่าเครมลินทำตามแผนที่จะยุติการนำเข้ายานพาหนะตะวันตก เพื่อให้กระทบกับอุตสาหกรรมยานยนต์ของ EU การคว่ำบาตรได้รับการลงมติตั้งแต่เมื่อวันที่ ๘ กันยายน แต่มีการถกเถียงกันเรื่องการมีผลใช้บังคับ เนื่องจากรัฐบาล EU หลายประเทศหวั่นเกรงความรุนแรงขึ้นของวิกฤติ ขณะเดียวกันกับ EU สหรัฐก็มีการวางมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียต่อไปเนื่องจากวิกฤติยูเครน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น