Picture From http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/9/97/Biosafety_level_4_hazmat_suit.jpg
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแคนาดา ออกมาระบุเมื่อคืนวันศุกร์ (8 ส.ค.) ว่าพบผู้ป่วยรายหนึ่งที่กลับมาจากไนจีเรียแสดงอาการตัวร้อนและมีไข้สูง ดูคล้ายอาการเบื้องต้นของอีโบลา จึงได้ทำการกักตัวแยกไว้ต่างหาก ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองโทรอนโต
ไนจีเรียคือหนึ่งในหลายชาติแอฟริกาตะวันตก ที่ได้รับการยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้ออีโบลา โรคที่ทำให้มีอาการไข้ตกเลือด ซึ่งขณะนี้แพร่ระบาดเป็นวงกว้างมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตเพราะโรคนี้ไปแล้ว 961 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อมีเกือบ 1,800 ราย
ผู้ป่วยชายที่ไม่มีการระบุชื่อรายหนึ่ง ได้ถูกนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลแบรมตันซีวิค แถวชานเมืองโทรอนโต ซึ่งอยู่ในเครือของบริษัท “วิลเลียม ออสเลอร์ เฮลต์ ซิสเต็ม”
คำแถลงของโรงพยาบาลระบุว่า เพื่อเป็นการระวังภัยเอาไว้ก่อน ทางออสเลอร์จึงได้ใช้มาตรการควบคุมโรคขั้นสูงในแผนกฉุกเฉิน รวมถึงแยกตัวผู้ป่วยเอาไว้ต่างหาก โดยคณะแพทย์ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับเจ้าหน้าที่ของสาธารณสุข เพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย
นอกจากการกักบริเวณผู้ป่วยรายนี้ ทางโรงพยาบาลยังระบุอีกว่า ได้ใช้มาตรการป้องกันด้านอื่นๆ อย่างเข้มงวดอีกด้วย
เกรแฮม พอลเล็ต รักษาการหัวหน้าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำพื้นที่ ระบุว่า จนถึงวันนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้ออีโบลาในออนแทรีโอ และความเสี่ยงที่คนอื่นๆ จะได้รับเชื้อก็ถือว่าต่ำมาก ทั้งนี้ โทรอนโตเป็นเมืองหลวงของรัฐออนแทรีโอ
เขายังระบุอีกว่า ระบบการดูแลด้านสาธารณสุขของออนแทรีโอนั้นได้มีการ “เตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับผู้ที่มีอาการป่วยที่อาจเป็นโรคระบาด อย่างเช่นอีโบลา”
เขายังเตือนด้วยว่า อาการเบื้องต้นของผู้ติดเชื้ออีโบลานั้น “จะดูคล้ายกับอาการป่วยของโรคทั่วไปจำนวนมาก” ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ผู้ที่ทำการดูแลผู้ป่วย “ใช้ความระมัดระวังอย่างสูงเผื่อในกรณีที่เป็นอีโบลา”
เอริค ฮอสกินส์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอาวุโสของออนแทรีโอ ระบุในคำแถลงว่า ด้วยประสบการณ์และบทเรียนที่ได้รับจากการระบาดของโรคซาร์ส ทำให้หลายโรงพยาบาลมีระบบและขั้นตอนควบคุมการติดเชื้อที่มีความซับซ้อน และยังมีอุปกรณ์พร้อมสรรพสำหรับการรับมืออีโบลา
ประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักที่สุดจากอีโบลา ได้แก่ เซียร์ราลีโอน ไลบีเรียและกินี แต่สำหรับไนจีเรีย มีผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ 9 ราย
ประธานาธิบดีไนจีเรีย “กูดลัก โจนาธาน” ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อวันศุกร์ (8 ส.ค.) ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ทางองค์การอนามัยโลกได้ออกมาระบุว่าอีโบลาเป็นวิกฤติด้านสุขภาพระดับโลก
ไนจีเรียคือหนึ่งในหลายชาติแอฟริกาตะวันตก ที่ได้รับการยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้ออีโบลา โรคที่ทำให้มีอาการไข้ตกเลือด ซึ่งขณะนี้แพร่ระบาดเป็นวงกว้างมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตเพราะโรคนี้ไปแล้ว 961 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อมีเกือบ 1,800 ราย
ผู้ป่วยชายที่ไม่มีการระบุชื่อรายหนึ่ง ได้ถูกนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลแบรมตันซีวิค แถวชานเมืองโทรอนโต ซึ่งอยู่ในเครือของบริษัท “วิลเลียม ออสเลอร์ เฮลต์ ซิสเต็ม”
คำแถลงของโรงพยาบาลระบุว่า เพื่อเป็นการระวังภัยเอาไว้ก่อน ทางออสเลอร์จึงได้ใช้มาตรการควบคุมโรคขั้นสูงในแผนกฉุกเฉิน รวมถึงแยกตัวผู้ป่วยเอาไว้ต่างหาก โดยคณะแพทย์ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับเจ้าหน้าที่ของสาธารณสุข เพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย
นอกจากการกักบริเวณผู้ป่วยรายนี้ ทางโรงพยาบาลยังระบุอีกว่า ได้ใช้มาตรการป้องกันด้านอื่นๆ อย่างเข้มงวดอีกด้วย
เกรแฮม พอลเล็ต รักษาการหัวหน้าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำพื้นที่ ระบุว่า จนถึงวันนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้ออีโบลาในออนแทรีโอ และความเสี่ยงที่คนอื่นๆ จะได้รับเชื้อก็ถือว่าต่ำมาก ทั้งนี้ โทรอนโตเป็นเมืองหลวงของรัฐออนแทรีโอ
เขายังระบุอีกว่า ระบบการดูแลด้านสาธารณสุขของออนแทรีโอนั้นได้มีการ “เตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับผู้ที่มีอาการป่วยที่อาจเป็นโรคระบาด อย่างเช่นอีโบลา”
เขายังเตือนด้วยว่า อาการเบื้องต้นของผู้ติดเชื้ออีโบลานั้น “จะดูคล้ายกับอาการป่วยของโรคทั่วไปจำนวนมาก” ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ผู้ที่ทำการดูแลผู้ป่วย “ใช้ความระมัดระวังอย่างสูงเผื่อในกรณีที่เป็นอีโบลา”
เอริค ฮอสกินส์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอาวุโสของออนแทรีโอ ระบุในคำแถลงว่า ด้วยประสบการณ์และบทเรียนที่ได้รับจากการระบาดของโรคซาร์ส ทำให้หลายโรงพยาบาลมีระบบและขั้นตอนควบคุมการติดเชื้อที่มีความซับซ้อน และยังมีอุปกรณ์พร้อมสรรพสำหรับการรับมืออีโบลา
ประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักที่สุดจากอีโบลา ได้แก่ เซียร์ราลีโอน ไลบีเรียและกินี แต่สำหรับไนจีเรีย มีผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ 9 ราย
ประธานาธิบดีไนจีเรีย “กูดลัก โจนาธาน” ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อวันศุกร์ (8 ส.ค.) ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ทางองค์การอนามัยโลกได้ออกมาระบุว่าอีโบลาเป็นวิกฤติด้านสุขภาพระดับโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น