นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัคแห่งมาเลเซีย ประกาศปรับลดการใช้จ่ายภาครัฐในปี 2015 นี้ หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เป็นแห่งรายได้กว่าร้อยละ 30 ของรัฐบาลมาเลเซียประสบภาวะตกต่ำดิ่งเหวต่อเนื่อง แต่นาจิบยังยืนกราน มาเลเซียจะไม่เผชิญกับวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งใหม่
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวระหว่างการพบกับผู้แทนนักลงทุนต่างประเทศในกรุงกัวลาลัมเปอร์ในคืนวันอังคาร (20 ม.ค.) โดยระบุว่ารัฐบาลมาเลเซียมีความจำเป็นต้องตัดลดการใช้จ่ายภาครัฐลงราว 2 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นวงเงินงบประมาณราว 5,500 ล้านริงกิต (ราว 49,560 ล้านบาท) ในปีนี้ จากยอดรวมงบประมาณ 273,900 ล้านริงกิต (ราว 2.46 ล้านล้านบาท) ที่ประกาศไว้เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
อย่างไรก็ดี ผู้นำมาเลเซียยืนยันว่า การตัดลดการใช้จ่ายภาครัฐดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อโครงการด้านการลงทุนของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะต่างๆ แต่ยอมรับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะมีผลกระทบต่อเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในปีนี้ ที่คาดว่าจะมีการเติบโตลดลงเหลือเพียง 4.5-5.5 เปอร์เซ็นต์จากที่เคยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจมาเลเซียในปี 2015 จะเติบโตเกินกว่า 5.6 เปอร์เซ็นต์
ท่าทีล่าสุดของผู้นำรัฐบาลเสือเหลืองมีขึ้นหลังจากที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องสู่ระดับต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และสร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อแผนงบประมาณของมาเลเซียที่ถูกกำหนดขึ้น บนพื้นฐานของระดับราคาน้ำมันที่ “100 ดอลลาร์”
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมน้ำมันถือเป็นที่มาของรายได้ราว 1 ใน 3 ของรัฐบาลมาเลเซียในแต่ละปี และหลายฝ่ายกังวลว่าการหดหายของรายได้จากน้ำมันจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจแดนเสือเหลือง โดยเฉพาะท่ามกลางภาวะที่รัฐบาลมาเลเซียมีสัดส่วน “หนี้สินภาครัฐ” พุ่งสูงถึง “55 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี” ในขณะนี้ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนหนี้ภาครัฐที่ “สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น