วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

อินโดนีเซียพบเหยื่อแอร์เอเชียเพิ่ม 6 ศพ เผยสัญญาณเตือนภัยดังก่อนตก

ประดาน้ำอินโดนีเซียพบร่างผู้เสียชีวิตจากเครื่องแอร์เอเชียเพิ่มอีก 6 ศพเมื่อวันพฤหัสฯ (22 ม.ค.) ใกล้กับตัวเครื่องหลักที่นอนนิ่งอยู่ก้นทะเลชวา ซึ่งทางการอิเหนาอาจใช้ถุงอากาศขนาดใหญ่กู้ขึ้นมาในวันศุกร์ (23) ขณะที่เจ้าหน้าที่สอบสวนที่ไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่งเปิดเผยโดยอ้างข้อมูลจากกล่องดำว่า สัญญาณเตือนภัยในห้องนักบินดังระงมก่อนที่เครื่องจะตกไม่กี่นาที
เที่ยวบิน QZ8501 ของสายการบินแอร์เอเชียตกเมื่อวันที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมาท่ามกลางพายุฝน พร้อมกับผู้โดยสารและลูกเรือ 162 คน ระหว่างบินจากสุราบายา เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอินโดนีเซีย มุ่งหน้าสิงคโปร์ โดยล่าสุดสามารถกู้ร่างผู้เสียชีวิตได้เพียง 59 ศพเท่านั้น
เอส.บี. ซูปรียาดี ผู้ประสานงานของสำนักงานการค้นหาและกู้ภัยแห่งชาติของอินโดนีเซีย เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (22) ว่า นักประดาน้ำพบร่างผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 6 ศพ เป็นหญิง 4 ศพ และชาย 2 ศพ โดยร่างเหล่านี้ติดอยู่ในซากเครื่องบิน และบางศพยังยึดติดอยู่กับเบาะด้วยเข็มขัดนิรภัย โดยบริเวณที่พบอยู่ไม่ไกลจากซากตัวเครื่องหลักซึ่งเป็นห้องโดยสารของเครื่องบินที่เชื่อว่า น่าจะมีร่างผู้เสียชีวิตจำนวนมากติดอยู่
“ทีมประดาน้ำของเราพบ 5 ร่างถูกฝังอยู่ใต้โคลน ใกล้กับบริเวณลำตัวเครื่องบิน โดยร่างผู้โดยสารเหล่านี้ยังถูกเข็มขัดนิรภัยรัดติดกับเก้าอี้ผู้โดยสาร” สุปริยาดีแถลง พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า “เราเชื่อว่าศพผู้โดยสารที่พบล่าสุดนี้หลุดออกมาจากบริเวณลำตัวเครื่อง ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 50-100 เมตร”
ทั้งนี้ ทีมค้นหาสามารถระบุตำแหน่งตัวเครื่องหลักของแอร์บัส A320-200 ได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากนานาชาติส่งเรือและเครื่องบินนับสิบลำร่วมค้นหา แต่ต้องพบอุปสรรคจากสภาพอากาศ กระแสน้ำเชี่ยวกราก และทัศนวิสัยใต้น้ำที่เลวร้าย ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงชิ้นส่วนดังกล่าวได้จนกระทั่งขณะนี้
อย่างไรก็ตาม พลเรือตรีวิโดโด ผู้บัญชาการกองเรือตะวันตกของอินโดนีเซีย เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (22) ว่า ทีมกู้ภัยอาจใช้ถุงลมขนาดใหญ่เพื่อดึงห้องโดยสารของเครื่องบินขึ้นจากใต้ทะเลในวันศุกร์ (23)
ในส่วนกล่องดำ ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์บันทึกข้อมูลการบิน และอุปกรณ์บันทึกเสียงในห้องนักบินนั้น สามารถกู้ขึ้นมาได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และเจ้าหน้าที่สอบสวนกำลังวิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์ทั้งสองชิ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น