ท้องฟ้าเปิดโล่งสำหรับเครื่องบินรุ่นใหม่ของบริษัทแอร์บัส ความหวาดหวั่นเกี่ยวกับการส่งมอบเครื่อง A350 สิ้นสุดลง ในวันที่ ๒๐ ธันวาคมที่ผ่านมา เครื่องบินรุ่นล่าสุดนี้ลำแรกได้ออกบินไปยังที่ตั้งของสายการบินกาตาร์แอร์เวย์ที่โดฮาที่อ่าวเปอร์เซียเรียบร้อยแล้ว
จากที่นั่นควรให้บริการในฐานะเครื่องบินโดยสารตั้งแต่กลางเดือนมกราคมเป็นต้นไป เมื่อ ๘ ปีที่แล้วแอร์บัสได้ตัดสินใจพัฒนาเครื่องบินขนาดเท่านี้ เป็นนวัตกรรมใหม่อย่างสิ้นเชิง ลำตัวเครื่องส่วนใหญ่ประกอบจากวัสดุอื่นแทนอลูมิเนียม ซึ่งเบากว่าและต้องการการดูแลรักษาน้อยกว่า เครื่องยนต์แรงขึ้นและใช้น้ำมันน้อยกว่าเครื่องรุ่นก่อน ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นความต้องการของลูกค้าสายการบินจากทั่วโลก ด้วย A350 แอร์บัสมีเป้าหมายที่โบอิงคู่แข่งอเมริกันที่นำหน้าไปก่อนด้วยเครื่องบินเจ็ทระยะทางไกล “787 Dreamliner“ ที่ขนาดเล็กกว่า และขณะเดียวกันแอร์บัสมองเห็นและนำไปแก้ไขสิ่งบกพร่องของบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินของคู่แข่ง
การถ่ายงานที่สำคัญ ๆ ให้กับผู้ประกอบชิ้นส่วนสร้างความล่าช้านับเวลาเป็นปีหรือหลายปี ให้โบอิงในการพัฒนาและแบตเตอรี Lithium-Ionen ที่เครื่องจำเป็นต้องใช้สำหรับเครื่องยนต์ระดับเทคโนโลยีชั้นสูงจำนวนมากบนเครื่องก็เกิดลุกไหม้ ทำให้ต้นปี ๒๐๑๓ ดรีมไลเนอร์ทุกลำต้องอยู่บนพื้นเป็นเวลา ๓ เดือนจนกว่าจะค้นพบการแก้ไขปัญหาที่เป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายเกิดไฟไหม้ ในขณะที่บริษัทแอร์บัสทำการพัฒนา A350 เอง และในการเก็บสะสมไฟก็ใช้แบตเตอรีนิคเกิล-แคดเมียมแบบดั้งเดิม
Fabrice Brégier นายใหญ่แอร์บัสระบุว่าเป็น “การลดความเสี่ยง” A350 เป็นสินค้าขายดีมานานแล้ว โดยมีการสั่งซื้อ ๗๗๘ ลำ การสั่งจองซื้อเครื่องบินทะลุเป้าการผลิตเต็มพิกัดไปจนถึงปี ๒๐๒๑ Brégier กล่าวว่า เป็นความท้าทายที่จนถึงสิ้นปี ๒๐๑๘ จะเพิ่มอัตราการผลิตตามที่วางแผนไว้จาก ๓ ลำต่อเดือน เป็น ๑๘ ลำต่อเดือน หากดำเนินไปเชื่องช้าเกินไป ก็จะฉุดรั้งการส่งมอบไม่ทันเวลา ซึ่งทำให้ลูกค้าไม่พอใจ อย่างไรก็ดี ลูกค้าแทบไม่มีทางเลือก “ดรีมไลเนอร์” ของโบอิงก็ขายหมดเป็นปีแล้ว และเครื่องบินเจ็ทระยะทางไกลที่ลำใหญ่กว่า เช่น โบอิง ๗๗๗ เป็นเครื่องรุ่นเก่าที่กินน้ำมัน ๗๗๗-X ที่ประหยัดกว่าควรเสร็จในปี ๒๐๒๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น